เป็นวงหน้าใหม่ที่เนื้อหอมใช่เล่น มาไทยสองครั้งก็ขายบัตรหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วทั้งสองครั้ง สำหรับ LANY วงอินดี้ป็อป ซินธ์ป็อปจากอเมริกาที่คราวนี้มาพร้อมอัลบั้มใหม่ Malibu Nights สตูดิโออัลบั้มลำดับที่สองของวง
สมาชิกยังอยู่กันครบถ้วนทั้งสามนายได้แก่
- พอล เจสัน ไคลน์ (Paul Jason Klein) – ร้องนำคีย์บอร์ด
- เจค กอส (Jake Goss) – กลอง แซมปลิ้ง
- และ เลส พรีส (Les Priest) – ซินธ์ ร้องประสาน กีตาร์
อัลบั้มนี้ประกอบไปด้วยบทเพลงทั้งหมด 9 เพลง (จากเดิมที่อัลบั้มเดบิวต์ปาไปตั้ง 17 เพลง) เนื้อหาโดยรวมของอัลบั้มนี้พูดถึงเรื่องของความรัก ความผูกพัน และการสูญเสียรักไป เป็นอัลบั้มที่เกิดจากการเปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นความสร้างสรรค์ สมกับคำกล่าวที่ว่า “No Pain No Gain” จริงๆ
เอกลักษณ์ของ LANY ยังอยู่ครบทั้งท่วงทำนองแบบซินธ์ป็อปที่ล่องลอย เบาพลิ้ว เสียงร้องฟังสบายจาก พอล ไคลน์ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาคือการเติมส่วนของกีตาร์ เปียโน และกลองลงไปให้เข้มข้นมากขึ้น ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ง่ายๆจากเพลง “Let Me Know” และ “Taking Me Back “ รวมไปถึงแทร็คปิดอัลบั้มชื่อเดียวกันกับชื่ออัลบั้ม “Malibu Nights” ที่ปลุกอารมณ์เปลี่ยวโดดเดี่ยวไปด้วยเสียงเปียโนหวานหู
และที่ยอดเยี่ยมเลยก็คือ เพื่อนๆสามารถฟังงานเพลงจากอัลบั้มนี้ได้ฟรีๆผ่านทาง youtube channel ของวงเลยครับ
ก่อนอื่นเราเรามาชม teaser ของอัลบั้มนี้กันก่อนครับ แค่ teaser ก็พีคแล้ว เมื่อได้เห็นพอล ไคลน์ในช่วงอารมณ์เศร้า และการเปลี่ยนผ่านจากผมยาวไปสู่ผมสั้น อันเป็นเสมือนภาพแทนของการสละทิ้งบางสิ่งที่ทำให้เจ็บปวด
คราวนี้เรามาลองฟังกันเลยดีกว่าครับว่าทั้ง 9 บทเพลงจากอัลบั้มนี้เป็นอย่างไรกันบ้าง
1) Thick And Thin
เป็นซิงเกิ้ลที่สามที่ปล่อยออกมา แต่เป็นแทร็คแรกของอัลบั้ม เนื้อหาเป็นเพลงเศร้าบอกเล่าอารมณ์สับสนหลังจากการเลิกรา แต่ดนตรีกลับให้ความรู้สึกชวนขยับอย่างไรไม่รู้ ทำให้รู้ว่าเพลงเศร้าแต่ดนตรีไม่จำเป็นต้องเศร้าก็ได้ เปิดอัลบั้มมาจังหวะแบบนี้น่ะดีแล้ว
2) Taking Me Back
เพลงนี้ทางวงเหมือนได้ทดลองทำอะไรใหม่ๆ มีกลิ่นแบบเดิมแต่เพิ่มเติมคือจังหวะกลองที่หนักแน่นขึ้น และการวางจังหวะท่อนร้องที่กระชับ สั้น เร็ว จัดว่าทำได้ดี
3) If You See Her
เนื้อหาอาจจะดูถวิลหาเล็กๆ เหมือนฝากบอกคนนู้นคนนี้ว่า หากพบเธอให้บอกเธอว่าฉันยังรักเธออยู่ เหมือนกับ Thick And Thin เนื้อหาเศร้าแต่เร้าอารมณ์ให้ขยับ จังหวะจะโคนหนักแน่น เข้มข้นพอตัว
4) I Don’t Wanna Love You Anymore
ซิงเกิ้ลที่สองของอัลบั้ม เรื่องราวดำเนินมาถึงช่วงเวลาของการพยายามตัดใจ ด้วยการบอกกับตัวเองว่า “I Don’t Wanna Love You Anymore” เพราะเหมือนจะเป็นทางเดียวที่ทำให้ลืมเธอได้ เพลงนี้กลั่นออกมาจากความรู้สึกที่เศร้าลึกอยู่ภายในใจของพอล ไคลน์ มันเป็นช่วงเวลาที่เขายังลืมอดีตคนรักของเขาไม่ได้ ซึ่งไคลน์ได้เล่าว่า “หลังจากผมเขียนเพลงนี้จบ ผมก็บึ่งรถไปที่ เมคีกาลี (เมืองหลวงของรัฐบาฮากาลิฟอร์เนีย ประเทศเม็กซิโก) ผ่านทางถนนเวนทูล่า บูเลอวาร์ด ขับรถคนเดียว ทานข้าวคนเดียวโดยสวมเฮดโฟนเอาไว้ จากนั้นผมขับไปที่มาลิบู อยู่ดีๆผมก็ร้องไห้ขึ้นมา ช่วงเวลานี้นี่แหละที่เป็นที่มาของท่อนสุดท้ายในเพลง “Thru These Tears”
Driving home on an empty highway
I thought about you and I hit the brakes
What we had and who we were was so clear
But right now I can’t see nothing through these tears
5) Let Me Know
เหมาะมากที่วางเพลงนี้ไว้กลางอัลบั้ม แทร็คนี้เป็นหนึ่งในแทร็คที่ชอบที่สุดของอัลบั้มนี้ มาในจังหวะช้าปานกลาง เครื่องดนตรีน้อยๆ แต่เน้นด้วยอารมณ์ เพลงนี้เห็นถึงการเติมเต็มในส่วนของดนตรีเพื่อทำให้บทเพลงมีความกลมกล่อมได้อย่างชัดเจน เมโลดี้ท่อนฮุคชวนจดจำ อีกทั้งเสียงกีตาร์ในช่วงท้ายเพลงนี้ส่งอารมณ์ไปสู่จุดอันอิ่มเอมจริงๆ
6) Run
เนื้อหาของเพลงพูดถึงความเจ็บปวดที่ถูกคนรักจากลาและหลอกเรามาตลอด สุดท้ายเธอก็เลิกกับเราไปคบกับเขาคนเก่า ทำได้เพียงพูดด้วยความเจ็บปวด
So go ahead and run, run, run
Back to who you were running from
Just make sure you
Don’t run back to me when you’re done
เดินจากไปเถอะ เพราะเธอคงไม่มีโอกาสวิ่งหนีกลับมาหาฉันได้อีกแล้ว
7) Valentine’s Day
อีกหนึ่งบทเพลงที่มีความละมุน ให้ความรู้สึกเศร้า เหงาได้อย่างลงตัว เมื่อความรักเดินทางมาถึงจุดที่เรากำลังเปิดใจคบใครคนใหม่ และใครคนนั้นก็อาจช่วยเติมเต็มความรู้สึกอ้างว้างได้ ถึงแม้มันจะเติมไม่เต็มและความคิดคำนึงถึงเธอยังคงมีอยู่ก็ตาม
8) Thru These Tears
ซิงเกิ้ลแรกเปิดอัลบั้ม Thru These Tears เป็นเพลงที่ลงตัวมากๆทั้งเนื้อหาและท่วงทำนอง ที่เป็นเสมือนการเดินทางข้ามผ่านความบอบช้ำจากรักในค่ำคืนแห่งความเจ็บปวดอันยาวนาน เพื่อไปพบกับแสดงสว่างที่จุดเริ่มต้นของวันพรุ่ง บทเพลงมีการไล่อารมณ์จากเบาไปเข้มข้น ได้อย่างกลมกล่อม พอจบเพลงแล้วสิ่งที่เหลือทิ้งไว้ก็คือพลังใจที่อิ่มเอม
เป็นบทเพลงที่เหมาะแก่การเป็นซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มนี้ เป็นบทเพลงที่เสมือนกล่าวความนัยจากอัลบั้มนี้ได้อย่างชัดเจน ถ้วนทั่ว งดงาม
9) Malibu Nights
แทร็คปิดอัลบั้ม โดดเดี่ยวด้วยเสียงเปียโน เปลี่ยวเหงา เหมือนกับเป็นการทิ้งทวนความเศร้าทั้งหมดที่มีมา ก่อนที่จะปล่อยมันออกไป เสมือนเป็นค่ำคืนสุดท้ายแห่งความเหงาที่เราเดินทางมาตลอดทั้งอัลบั้ม งดงามทั้งเนื้อหาของเพลงและส่วนผสมของดนตรีที่ลงตัว ฟังแล้วรู้สึกเสมือนได้สัมผัสกับรสชาติของความเหงา เสพย์สัมผัส เรียนรู้มัน การที่จะค่อยๆปล่อยมือจากมันไปพร้อมน้ำตาหลดสุดท้ายที่กำลังจะแห้งเหือด ยอดไปเลยครับ!
“Malibu Nights” คือ การข้ามผ่านช่วงข้ามคืนแห่งความเจ็บช้ำ ไปสู่แสงแห่งความหวังในเช้าวันใหม่ เป็นบทเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความผิดหวัง เจ็บช้ำ เสียใจ แต่ด้วยการเผชิญหน้าเรียนรู้ อยู่กับมันสิ่งนี้จึงได้ถูกเปลี่ยนเป็นพลังสร้างสรรค์ และผลงานเพลงจากอัลบั้มนี้คือคำตอบของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น หวังว่าเพื่อนๆจะมีความสุขกับงานฟังงานเพลงในอัลบั้มนี้ และมีแรงพลังในการก้าวเดินท่ามกลางแสงแห่งความหวังในทุกๆเช้าวันต่อไปนะครับ