Kings of Leon 4 หนุ่มการาจร็อกจากแดนใต้ยังคงเก๋าเหมือนเดิม แต่มาในท่าทีที่สุขุมและสง่างามตามวัยวันที่ผันผ่าน เราแทบจะนึกถึงไอ้หนุ่มที่ร่ำร้องและบรรเลงบทเพลงแห่งไฟรักอันเร่าร้อนใน ‘Sex on Fire’ หรือ ‘Use Somebody’ ไม่ออก ดูเหมือนว่าไอ้หนุ่มคนนั้นจะเจอรักที่มั่นคงและค้นพบสัจธรรมบางอย่างของชีวิต บทเพลงของพวกเขาจึงช่างสงบงันและลุ่มลึกตกผลึกเหลือเกิน
การร่วมงานกับโพรดิวเซอร์คนเดิมจากอัลบั้ม ‘WALLS’ (2016) Markus Dravs เป็นการตัดสินใจที่ถูกเผงเพราะจากอัลบั้มก่อนเราจะเห็นได้เลยว่าพวกเขากำลังเติบโตและพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ในชุดนี้เหมือนได้สานต่อจากแนวทางที่เดินมาและเหมือนได้กลับไปทบทวนร่องรอยที่ได้สร้างไว้ตลอดระยะเวลาที่เดินบนเส้นทางแห่งเสียงดนตรี งานในชุดนี้จึงยังคงมีเอกลักษณ์ความเป็น KOL อย่างครบถ้วนแต่ก็มีการเติบโตและสุขุมนุ่มลึกขึ้น เราจะเห็นได้จากผลงานของศิลปินที่ Markus Dravs โปรดิวซ์ให้อย่าง Coldplay หรือ Mumford & Sons ที่ผสานความมันส์ ความเท่ และความจริงใจไพเราะนุ่มนวลเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างดี และสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นกับ ‘When You See Yourself’ ของ KOL ด้วยเช่นกัน
เปิดอัลบั้มด้วย “When You See Yourself, Are You Far Away” ความเวิ้งนำพาดวงวิญญาเข้าสู่ท่วงทำนองอันล่องลอยลุ่มลึก อาร์เพจจิโองดงามจากกีตาร์เลี้ยงไล่ไปกับกลองและเบสที่ดุ่มเดิมอย่างมั่นคงสง่างาม เสียงซินธ์เจือความเหงาเร้าเข้ามาใส่ท่อนที่เคเล็บร้องว่า “One more night, one more night will you stay here” นี่คือผสมเพลงที่ผสานความงดงามสงบงันและเร้าใจเข้าไว้ด้วยกันอย่างน่าประทับใจ
ในซิงเกิลเปิดตัวสุดเท่ “The Bandit” ซึ่งมาเป็นแทร็กที่ 2 ของอัลบั้ม KOL ถ่ายทอดพลังของพวกเขาในแบบที่เราคุ้นเคยผ่านท่วงทำนองที่ไพเราะเร้าใจและเนื้อเพลงที่เล่าเรื่องการไล่ล่าระหว่างมือปราบและจอมโจรซึ่งสะท้อนภาพการผจญภัยในแดนใต้ซึ่งเข้ากันดีกับ KOL เป็นความเฉียบที่เอาเพลงนี้มาไว้ในช่วงต้นอัลบั้มเพื่อให้แฟน ๆ ได้สะใจไปกับท่วงทำนองในแบบฉบับของวงแล้วปล่อยให้เพลงบัลลาดโดน ๆ รวมไปถึงบทเพลงในท่วงทำนองที่สงบงันคอยกล่อมอารมณ์เราหลังจากนี้
ใน “100,00 people” เคเล็บถ่ายทอดอารมณ์ที่เขารับรู้จากเรื่องราวของพ่อตาที่เป็นโรคภาวะสมองเสื่อม (dementia) ผ่านท่วงทำนองเนิบช้าที่เน้นความนุ่มนวลโดยเขียนเนื้อออกมาเป็นเพลงรักเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่กำลังสูญเสียหญิงคนรักไป เธออาจเป็นฝ่ายที่จากไปแต่บางทีมันอาจไม่ใช่แต่เป็นเขาต่างหากที่จากไปแต่บางทีก็อาจจะไม่ใช่เช่นกัน ในเนื้อหาของเพลงจึงมีการถ่ายทอดภาวะของการอยู่ตรงกลางระหว่างบางสิ่งเหมือนในท่อนร้องที่ว่า “Get what you want and not what you need” (ที่ทำให้เรานึกถึงเพลง fix you ของ Coldplay) ถ้อยคำของเขาถ่ายทอดความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้ดีเลยทีเดียว “I can’t seem to place your name / Know the face that I can’t explain / In my mind, you’re everything / Lips don’t move, but voices still ring”
หากถามหาเพลงที่มีท่วงทำนองสนุก ๆ “Stormy Weather” คือคำตอบ แต่อาจไม่ใช่ความสนุกแบบในค่ำคืนของงานปาร์ตี้แต่เป็นความสนุกสนานที่เน้นความขี้เล่นมากกว่า ลูกเล่นลีลาจากกีตาร์ที่มีเสียงหวีดลอย และลูกเบสดิ้นไหลในสไตล์โซลนั่นคือสิ่งที่น่าประทับใจมาก ๆ จากเพลงนี้
เปิดมาด้วยท่วงทำนองอันนุ่มนวลเปลี่ยวเหงาจากสุ้มเสียงของเปียโน “A Wave” คือหนึ่งในเพลงบัลลาดดี ๆ จากอัลบั้มนี้ที่เติมลูกเล่นลีลาด้วยการเปลี่ยนอารมณ์เศร้าจากช่วงต้นเพลงให้กลายเป็นจังหวะที่มีชีวิตชีวาและเกือบเริงร่าในช่วงท้ายเป็นอีกหนึ่งเพลงที่ชวนให้คิดถึง Coldplay
“Golden Restless Age” มาพร้อมท่วงทำนองในจังหวะชวนโยกเบา ๆ และเนื้อเพลงที่เย้ายวนชวนให้คิดถึงรำพึงถึงความเยาว์วัยที่ได้ผันผ่านไป “The golden restless age / And time won’t turn the page / You’re only passing through a form of you / I look in your eyes and there’s a rage”
“Is the world I belong to or just a shade of light” เคเล็บตั้งคำถามในเพลง “Time in Disguise” ถึงชีวิตภายใต้แสงสปอตไลต์ว่าแท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกันแน่ เป็นเพียงแค่มายาภาพหรือความจริงแท้
“Supermarket” เปิดมาด้วยไลน์เบสเด้งไหลไปกับจังหวะบางเบาฟังแล้วชวนสบายใจ ท่วงทำนองชวนชำระล้างจิตใจที่เหนื่อยล้าให้กลับมามีความสงบผ่อนคลาย ผ่านเรื่องราวร่ำร้องของคนที่ออกเดินทางเพื่อแสวงหาที่หมายอันสงบภายในใจ และเธอนั่นเองคือที่แห่งนั้นที่ที่จะทำให้ฉันได้ชำระล้างและไม่ต้องออกเดินทางไปไหนอีกต่อไป “I’ll never be whole again / Until I get clean” ปล่อยเรื่องราวในใจให้ไหลไปในท่วงทำนอง ปล่อยจิตใจให้ล่องไหลไปอย่างอิสระ “I’m going nowhere… if you’ve got the time / I’m going nowhere… with you on my mind”
สัมผัสท่วงทำนองซอฟต์ร็อกอันแสนโรแมนติกใน “Claire & Eddie” บทเพลงที่พาเราล่องไปในห้วงอารมณ์แห่งความรัก ความอบอุ่น ที่พร้อมพาใจล่องไหลไปในโลกของสองเรา “You drift in and out like a thunder / Force my hand to get you out of here / Somewhere we can disappear.”
เจอเบา ๆ มาหลายเพลงแล้ว มาปลุกอารมณ์ด้วยท่วงทำนองเร้าใจให้อะดรีนาลีนสูบฉีดใน “Echoing” ที่มาพร้อมท่วงทำนองที่ชวนให้เราคิดถึงงานในยุคแรก ๆ อย่างในอัลบั้ม “Youth & Young Manhood” (2003) และ “Aha Shake Heartbreak” (2004)
ปิดท้ายอัลบั้มด้วยบทเพลงอันงดงามในท่วงทำนองชวนล่องลอย “Fairytale” หนึ่งในบทเพลงอันโรแมนติกจาก Kings of Leon “I’ll love you ‘til the day is gone” Caleb สามีของนางแบบสาว Lily Aldridge คุณพ่อลูกสอง ถ่ายทอดความรักจากข้างใน ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นทั้งนาธาน จาเร็ด และแมทธิว ต่างก็มีครอบครัวเป็นสามีและพ่อด้วยกันทั้งนั้น พวกเขาผสานความเป็นนักดนตรีและแฟมิลีjแมนสะท้อนอารมณ์รักอันเปี่ยมสุขและบริสุทธิ์ กล่อมเกลาเราด้วยท่วงทำนองและเนื้อร้องที่งดงามราวบทกวี เป็นบทเพลงที่จะทำให้คุณหลับฝันดี (หากฟังมันก่อนนอน)
พอฟัง “When You See Yourself” จบทั้งอัลบั้มแล้วก็รู้สึกว่านี่เป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่น่าประทับใจของปี 2021 นี้จริง ๆ เป็นการรอคอยที่แสนคุ้มค่าและรู้สึกชื่นใจว่าวงร็อกในนามราชา ‘Kings of Leon’ วงนี้จะยังคงอยู่อย่างสง่างามสมชื่อไปอีกนาน.
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส