Release Date
27/05/2022
Episodes
7 Episodes
Creator
The Duffer Brothers
Cast
Millie Bobby Brown Gaten Matarazzo David Harbour Winona Ryder
Streaming Service
Netflix
Our score
9.0[รีวิวซีรีส์] Stranger Things 4 Vol. 1 – อัดความ “พีค” โหด ฮา สยองเต็ม 7 ตอน
จุดเด่น
- ซีซันนี้ปล่อยของรัว ๆ แทบทุกตอน
- แม้ความยาวตอนละ 1 ชั่วโมง แต่เข้มข้นน่าติดตามตลอด
- ตัวละครใหม่มีเสน่ห์ไม่แพ้ตัวละครเก่า ๆ
- กล้านำเสนอภาพความสยองโหดจัดกว่าซีซันก่อน
จุดสังเกต
- ภาพสยดสยองน่ากลัวขึ้น อาจไม่เหมาะกับผู้ชมอายุน้อย ๆ
-
บทซีรีส์
9.1
-
คุณภาพงานสร้าง
9.5
-
นักแสดง
8.5
-
ตวามน่าติดตามของแต่ละตอน
9.0
-
ตวามคุ้มค่าเวลาในการรับชม
9.0
นับไปนับมา ‘Stranger Things’ อยู่กับแฟน ๆ ซีรีส์ไซไฟสยองขวัญมาถึง 6 ปีแล้ว ซึ่งจากทั้งเทรลเลอร์ของซีรีส์ที่ปล่อยออกมาไปจนถึงโฉมหน้านักแสดง โดยเฉพาะเด็ก ๆ ในซีซันแรกต่างก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมด และไม่ใช่แค่อายุนักแสดงหรือตัวละครเท่านั้น การกลับมาในซีซัน 4 นี้ยังท้าทายเหล่าผู้สร้างเป็นอย่างยิ่งว่าจะยังเล่าเรื่องของชาวฮอว์กินส์และโลกกลับด้านต่อไปอย่างไร
หลังเหตุการณ์เลือดสาดที่ห้างสตาร์คอร์ตในตอนท้ายของซีซัน 3 เหล่าแก๊งเด็กแสบแห่งฮอว์กินส์ต่างก็แยกย้ายไปมีเส้นทางของตัวเอง โดยแอล (มิลลี บอบบี บราวน์ Millie Bobby Brown) ไปอยู่กับบ้านบายเออร์สของจอยซ์ (วิโนนา ไรเดอร์ Winona Ryder) ที่มี วิล (โนอาห์ ชแนป Noah Schanapp) และ โจนาธาน (ชาร์ลี ฮีตัน Charlie Heaton) แต่ที่แคลิฟอร์เนียก็ไม่เหมือนฮอว์กินส์และแอลต้องปรับตัวกับสังคมไฮสคูลที่โหดร้ายในภาวะที่เธอไร้พลังใด ๆ จนกระทั่งแอลถูกจับหลังก่อเรื่อง ไมค์ (ฟินน์ วูลฟ์ฮาร์ด Finn Wolfhard) และพวก จำต้องตามหาแอลก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป
ในขณะเดียวกัน ดัสติน (กาเทน มาทาร์ราซโซ Gaten Matarazzo) สตีฟ (โจ คีรี Joe Keery) แนนซี (นาตาลี ไดเออร์ Natalie Dyer) ลูคัส (เคเล็บ แมคลาฟลิน Caleb McLaughlin) และ แม็กซ์ (เซดี ซิงค์ Sadie Sink) จำต้องไขคดีปริศนาของฮอว์กินส์ที่มีคนตายอย่างต่อเนื่อง หลังการมาถึงของ เวคน่า อสูรร้ายตนใหม่ที่อาจเกี่ยวพันกับเหตุการณ์ฆาตกรรมในอดีตของฮอว์กินส์ และท้ายสุด จิม ฮอปเปอร์ (เดวิด ฮาร์เบอร์ David Harbour) จำต้องฝากความหวังที่จะแหกคุกโหดจัดรัสเซียไว้กับ จอยซ์และเมอร์เรย์ โบว์แมน (เบรท เจลแมน Brett Gelman) เนิร์ดสุดเพี้ยนที่ดันพูดรัสเซียได้
สำหรับ ‘Stranger Things’ กับการกลับมาในซีซันที่ 4 นี้ แม้ว่าจะแต่งแบ่งออกมาเป็น 2 พาร์ตแต่ก็ยังหาใช่จุดจบของเรื่องราว กระนั้นเจตนาที่ของพี่น้องดัฟเฟอร์ (The Duffer Brothers) ผู้สร้างซีรีส์ชุดนี้จริง ๆ อาจกล่าวได้ว่าเป็นการล้างไพ่และเริ่มต้นเรื่องราวบทใหม่อย่างแท้จริง จนเหมือนว่า 3 ซีซันที่ผ่านมาเป็นเหมือนปฐมบทที่ต้องการปูพื้นเรื่องราวของตัวละครและวิกฤติการณ์หลักอย่างการรั่วไหลของอีกมิติที่มีแต่เมืองฮอว์กินส์ ก่อนจะมาเร่ิมต้นสืบสาวราวเรื่องและถักทอมันไปสู่บทสรุปอันน่าตื่นตาในซีซันที่ 5
สาเหตุหลัก ๆ ที่ผมมองว่าซีซัน 4 คือการเริ่มต้นเรื่องราวที่แท้จริงเพราะอะไรน่ะเหรอครับ ประการแรกเลยหากสังเกตในด้านการเล่าเรื่อง ซีซัน 1-3 เหมือนเรื่องจะวนอยู่ที่มิตรภาพของตัวละครเป็นหลัก ในขณะที่ิวิกฤตการณ์ปีศาจจากโลกกลับหัวหลุดมาที่ฮอว์กินส์เป็นเหมือนตัวพิสูจน์มิตรภาพของพวกเขา ในขณะที่เรื่องในพาร์ตแรกของซีซัน 4 ที่แต่ละตอนกินความยาวตอนละไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงเหมือนมันค่อย ๆ พาเราย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นจริง ๆ ของมันเสียที ซึ่งทำให้ปริมาณความเข้มข้นของเหตุการณ์ในแต่ละตอนแทบไม่มีตอนไหนจืดจางไปกว่ากันเลย
เริ่มตั้งแต่ตัวละครอีเลฟเว่นหรือแอลเองที่คราวนี้เริ่มจากการเป็นมนุษย์ไร้พลังอย่างที่เธอใฝ่ฝันและหวังจะได้ครองรักกับวิล แต่ยิ่งเธออยู่ท่ามกลางผู้คนปกติเธอยิ่งรู้สึกแปลกแยกซึ่งมันนำมาสู่คำถามว่าหรือที่ผ่านมาเธอจะเป็นเพียงแค่ปีศาจ เพราะหลังจากเกิดเรื่องและเธอถูกจับ ซีรีส์ก็เริ่มพาเราไปสำรวจที่มาที่ไป ภาพย้อนอดีตอันแสนโหดร้ายทารุณที่ทิ้งปริศนาให้คนดูต้องตามต่อว่า หรือแอลจะเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดจริง ๆ
หรือจะเป็นในส่วนของตัวละครวัยรุ่นอย่างแนนซี่ที่เคยเป็นเพียงไม้ประดับและไม่ได้มีบทบาทในโลกกลับหัวมากไปกว่าแค่สถานะพี่สาวของไมค์ มาในซีซัน 4 เธอก็ได้แท็กทีมกับดัสตินและคนรักเก่าอย่างสตีฟในการออกตามหาความจริงเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมที่มีความเกี่ยวพันกับเวคน่าอีกหนึ่งจอมอสูร ที่ซีรีส์ได้แง้มมาแล้วว่ามันยังไม่ใข่ตัวบอส แต่จากข้อมูลเบื้องหลังพบว่า ผู้ที่มาสวมบทเวคน่าสุดน่ากลัวครั้งนี้ไม่ใช่ใครแต่เป็น โรเบิร์ต อิงลันด์ (Robert Englund) เจ้าของบท เฟรดดี ครูเกอร์ จาก ‘Nightmare on Elm Street’ ที่เหมือนเป็นพิมพ์เขียวให้ความโหดในซีซันนี้นั่นเอง
เห็นบอกว่าซีซีนนี้จะโหดจัดรัสเซีย แต่ก็ใช่ว่าซีรีส์จะขาดอารมณ์ขันเสียทีเดียวนะครับ เพราะมันก็ยังเซอร์วิสแฟน ๆ ด้วยเสียงหัวเราะอยู่นอกจากความฮาและน่ารักของดัสตินที่ กาเทน มาทาราซโซ่ ยังคงขโมยซีนได้เหมือนเดิมแล้ว เรายังจะได้เห็นตัวละครสาวสายป่วนอย่าง โรบิน ที่ได้ มายา ฮอว์ค (Maya Hawk) มาโปรยเสน่ห์พร้อมเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี เสริมทัพด้วยตัวละครใหม่ทั้งอาไกล์เพื่อนสายเขียวของ โจนาธาน บายเออร์ส ที่ได้ เอดัวร์โด ฟรังโก (Eduardo Franco) มาปล่อยมุกเมาๆ มึน ๆ สร้างเสียงหัวเราะตลอดซีซันรวมถึง เอ็ดดี มันสัน ที่ได้ โจเซฟ ควินน์ (Joseph Quinn) มาสวมบทเด็กโข่งแห่งเฮลล์ไฟร์คลับที่กลายเป็นแพะรับบาปในคดีฆาตกรรมก็สร้างความบันเทิงให้คนดูได้ไม่แพ้ตัวละครเก่า ๆ เลย
กล่าวอย่างง่าย ๆ หากจะนิยามซีซัน 4 ในพาร์ตแรกของ ‘Stranger Things’ ก็คือการปล่อยของที่อั้นไว้ใน 2 ซีซันหลังที่เราต้องยอมรับว่านอกจากลุ้นเด็ก ๆ เอาชนะเดโมกอร์กอนแล้วซีรีส์ก็ดูแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด จะโหดก็ยังไม่โหดสุด จะสยองก็ยังเหมือนอั้น ๆ จนกระทั่งซีรีส์ก็ได้อานิสงส์จากโกรวธ์ฮอร์โมนของเด็ก ๆ ที่เพิ่มอายุและการเติบโตได้ทันใช้พอดี จนกระทั่งซีซัน 4 นี่แหละที่ถือเป็นการเปิดศักราชการเป็นซีรีส์ไซไฟสยองขวัญที่ไม่กั๊กความโหดแบบสากะใจสายสยองขวัญสไตล์หนังยุค 80s เลยล่ะ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส