[รีวิวซีรีส์-มีสปอยล์] Resident Evil – เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทน(ดู)คือแฟนเกม (และแฟนหนัง)
Our score
3.5

Release Date

14/07/2022

Episodes

8 Episodes

Genre

Sci-fi Action Horror

OTT Service

Netflix

Cast

Ella Balinska Lance Riddick Paola Nuñez

[รีวิวซีรีส์-มีสปอยล์] Resident Evil – เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทน(ดู)คือแฟนเกม (และแฟนหนัง)
Our score
3.5

[รีวิวซีรีส์-มีสปอยล์] Resident Evil – เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทน(ดู)คือแฟนเกม (และแฟนหนัง)

จุดเด่น

  1. ถ้าเอาเฉพาะฉากสยองขวัญ ก็ถือว่าทำได้โหด ลาดสาด และสยดสยองอยู่บ้าง
  2. เป็นซีรีส์ที่ได้นักแสดงที่ดีมาร่วมงานและทุ่มเทในบทของตัวเองพอสมควร

จุดสังเกต

  1. บทซีรีส์มีปัญหาในทุกทางโดยเฉพาะการตัดสลับ 2 ไทม์ไลน์ที่ทำลายการเล่าเรื่องอย่างน่าเสียดาย
  2. ยังคงเป็นหนังที่ไม่ได้ซื้อสัตย์หรือสานต่อจากมรดกที่เกมทำได้อย่างสมศักดิ์ศรี
  3. ผสมแนวหนังหลายหนังจนมั่วซั่ว
  4. คาแรกเตอร์ตัวละครน่ารำคาญจนไม่อาจทำให้เราลุ้นตามได้
  • การแสดง

    3.5

  • โปรดักชัน

    5.0

  • บทซีรีส์

    2.0

  • ความบันเทิง

    3.5

  • ความคุ้มเวลาในการชม

    3.5

‘Resident Evil’ หรือที่แฟนเกมรู้จักกันดีในชื่อ ‘Biohazard’ ถือเป็นหนังแฟรนไชส์จากวีดีโอเกมที่น่าจะประสบความสำเร็จที่สุดแฟรนไชส์หนึ่งจากหลักฐานเชิงประจักษ์ทั้งแฟรนไชส์หนัง 6 ภาคที่กุมบังเหียนกำกับและโปรดิวซ์โดย พอล ดับเบิลยู แอนเดอร์สัน (Paul W. Anderson) ควบคู่กับแสดงนำโดย มิลลา โยโววิช (Milla Jovovich) ภรรยาของเขาบวกกับเพิ่งผ่านตาไปกับฉบับภาพยนตร์รีบูตแฟรนไชส์อย่าง ‘Resident Evil Welcome to Raccoon City’ ที่ทำเสียงแตกเพราะแฟนเกมบางส่วนก็คลั่งไคล้ยกให้เป็นหนังที่ซื่อตรงจากเกมที่สุดแต่ก็ถูกสับเละจากนักวิจารณ์และคนดูเช่นเดิม

และการกลับมาอีกครั้งของแฟรนไชส์ ‘Resident Evil’ ภายใต้การอำนวยการสร้างโดยแพลตฟอร์มสตรีมมิงอย่างเน็ตฟลิกซ์ ก็ถือว่าไม่ได้เกินคาดเดาเพราะด้วยชื่อที่ขายได้บวกกับช่องทางที่เข้าถึงคนดูได้ง่ายกว่าเดิม โดยงานนี้เน็ตฟลิกซ์ดูจะมั่นใจระดับมั่นหน้ามั่นโหนกสร้างมันทั้งแอนิเมะซีรีส์ 4 ตอนจบอย่าง ‘Resident Evil Infinite Darkness’ ที่ยกให้ฝั่ง Capcom ของญี่ปุ่นคุมโปรเจกต์และปล่อยสตรีมมิงปีก่อนซึ่งผลตอบรับก็ยังไม่ดีเท่าไหร่ และก็ถึงคราวไพ่ตายใบสุดท้ายที่น่าจะตัดสินชะตากรรมของแฟรนไชส์นี้ก็คือซีรีส์ที่กลับมาใช้ชื่อเรียบ ๆ ง่าย ๆ ว่า ‘Resident Evil’ และคุมงานสร้างโดย คอนแสตนตินฟิลม์ (Constantin Film) เจ้าของเดียวกับแฟรนไชส์หนังฉบับแอนเดอร์สัน

สำหรับเรื่องราวในซีรีส์จะตัดสลับเล่า 2 เหตุการณ์คือปี 2037 ที่ เจด เวสเกอร์ นักวิจัยสาวต้องจำจากลูกน้อยเพื่อเก็บข้อมูลเหล่าซอมบี้ที่เธอเรียกว่าพวกซีโร่ ซึ่งเป็นประชากรหลักของโลกถึง 6,000 ล้านคนเพื่อหาทางรักษาชีวิตมนุษย์ที่เหลือเพียง 15 ล้านคนให้รอดจากการติดเชื้อ และอีกไทม์ไลน์คือปี 2022 เรื่องราวในอดีตที่โลกรู้จักกับโควิด -19 กันดีแล้ว และทำให้บริษัทยาระดับยักษ์ใหญ่อย่างอัมเบรลลา คอร์ปอร์เรชัน ตัดสินใจจ้าง อัลเบิร์ต เวสเกอร์ และครอบครัวมาอยู่ในนิวแร็กคูน ซิตี้ แห่งใหม่และเขาได้พาลูกสาว 2 คนทั้ง เจด เวสเกอร์ และ บิลลี เวสเกอร์ มาอยู่ด้วย ซึ่งทั้งสองสาวก็เริ่มระแคะระคายว่าพ่อของพวกเขาอาจเป็นต้นเหตุของมหันตภัยล้างโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เป็นได้

ทีนี้เราขอเข้าคำถามที่หลายคนน่าจะสงสัยคือ ‘Resident Evil’ ฉบับซีรีส์คราวนี้เล่าเรื่องซื่อสัตย์กับเกมไหม หรือมันออกทะเลมากแค่ไหน เล่าเรื่องสนุกไหม เราขอจำแนกประเด็นให้ทุกคนต้ดสินใจกันได้ง่ายขึ้นว่าควรเสียเวลาวันหยุดยาวนี้ดูมาราธอนมันเลย 8 ตอน (ซึ่งก็ใช้เวลาร่วม 8 ชั่วโมงเหมือนกัน) หรือไปหาอย่างอื่นทำกันดี?

Beartai Buzz รีวิวซีรีส์ Resident Evil
Beartai Buzz รีวิวซีรีส์ Resident Evil

มรดกจากเกม ? สร้างสรรค์หรือแกงโฮะ ?

สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับแฟนเกมของ ‘Resident Evil’ หรือ ‘Bio Hazard’ คือหนังฉบับไลฟ์แอ็กชันที่ไม่เคยซื่อสัตย์กับเรื่องราวในวีดีโอเกมจริง ๆ และหวยมันจะออกมาด้วยการหงายการ์ดจากผู้สร้างว่า ‘ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวีดีโอเกม’ สำหรับ ‘Resident Evil’ ฉบับซีรีส์นี้ก็ต้องบอกว่าไม่ต่างกันครับ คือเอาจริง ๆ ชื่อตัวละครที่ตรงกับวีดีโอเกมที่สุดคือ อัลเบิร์ต เวสเกอร์ ที่ได้ แลนซ์ เรดดิก (Lance Reddick) นักแสดงผิวสีที่แจ้งเกิดจากซีรีส์ลึกลับของ เจ เจ เอบรามส์ (J. J. Abrams) อย่าง ‘Fringe’ มารับบทนี้แบบค้านสายตาแฟนเกมสุด ๆ และแม้ในตอนหลัง ๆ ของซีรีส์เราจะได้เห็นลุคที่ใกล้เคียงกับวีดีโอเกมที่สุด แต่มันก็แลกมากับเหตุผลที่แถที่สุดแถมยังเละเทะออกทะเลไปมหาสมุทรอีกด้วยซ้ำ

และแน่นอนว่าพอตั้งหน้าว่าจะไม่ต้องซื่อสัตย์กับวีดีโอเกม 100% แล้วผู้สร้างก็ตะบี้ตะบันยัดกิมมิกจากเกมเข้ามาแบบไม่ที่มาที่ไป อย่างเซอร์เบอรัส (Cerberus) หรือ เจ้าหมาซอมบี้ที่เป็นจุดขายในหนังฉบับไลฟ์แอ็กชันภาคแรกก็มาในคราบฉากก็อปปี้จากหนัง ‘Jurassic Park’ ฉบับเด็กฝึกงานกำกับเพราะไร้ความระทึกใด ๆ มิหนำซ้ำมันยังยัดสัตว์ประหลาดหน้าตาประหลาด ๆ อย่าง ลิคเกอร์ (Licker) ก็แค่โผล่มาสร้างความระทึกเท่านั้นเอง นอกจากนี้ก็ยังมีกล่าวถึง ลิซา เทรเวอร์ (Lisa Travor) ตัวละครที่เคยโผล่มาใน ‘Resident Evil Welcome to Raccoon City’ แค่เพื่อให้เป็นหลักฐานว่า อัลเบิร์ต เวสเกอร์ เคยเกี่ยวพันกับเหตุสังหารหมู่ที่แร็กคูนซิตี้มาก่อน

โดยสรุปแล้วสำหรับแฟนเกมนี่ก็ยังไม่ใช่ Resident Evil ฉบับที่ซื่อตรงกับวีดีโอเกมที่สุดอยู่ดีครับ

Beartai Buzz รีวิวซีรีส์ Resident Evil
Beartai Buzz รีวิวซีรีส์ Resident Evil

สำหรับแฟนหนัง ‘Resident Evil’ ! คุณชอบกินยำรวมมิตรไหม ?

หากคุณเคยปวดกบาลกับแฟรนไชส์หนัง ‘Resident Evil’ ฉบับแอนเดอร์สันและโยโววิชมาแล้ว เตรียมตัวไปซื้อพาราเซตามอลหรือยาแก้ปวดแรง ๆ ได้เลย เพราะฉบับซีรีส์นี้เราไม่เรียกว่ามันว่า “ออกทะเล” แต่นี้คือ “ออกมหาสมุทร” อย่างที่กล่าวไป โดยเฉพาะการเล่าเรื่อง 2 ไทม์ไลน์ที่บอกได้เลยว่า “บรรลัย” ตั้งแต่ไอเดียตั้งต้นแล้ว !

แม้สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมสำหรับ ‘Resident Evil’ ฉบับซีรีส์ครั้งนี้คือการพาเราไปใช้ชีวิตในแร็กคูนซิตี้จริง ๆ มีวิ่งผ่านสวนสาธารณะ มีแนะนำเรื่องบ้านจัดสรรที่ทางอัมเบรลลาใช้ในการเซอร์วิสประชากรและควบคุมชีวิตไปพร้อม ๆ กัน แต่ข่าวร้ายคือเนื้อหาส่วนใหญ่มักวนเวียนอยู่ที่โรงเรียนไฮสคูล และแน่นอนมันก็วนซ้ำมาที่พลอต บิลลี เวสเกอร์ ถูกบูลลี่จากในโรงเรียน

ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าซีรีส์เน็ตฟลิกซ์เป็นอะไรกับฉากโรงเรียนมากไหมเพราะขนาดซีรีส์ซอมบี้วีดีโอเกมอย่าง ‘Resident Evil’ แทบไม่มีกิมมิกเกี่ยวกับโรงเรียนให้เล่นก็ยังอุตส่าห์ยัดเข้ามาเหมือนเห็นความสำเร็จของ ‘All of Us Are Dead’ ซีรีส์ซอมบี้เกาหลีที่เล่นประเด็นนี้แล้วประสบความสำเร็จเลยพยายามจะยัดเข้าไปหรือเปล่า มิหนำซ้ำนอกจากแค่ให้เรารู้ว่ามีอะไรผิดปกติกับบิลลีกับพาให้เจดไปรู้จักกับ ไซมอน ที่แสดงโดยหนุ่มหล่อ คอนเนอร์ โกซาตติ (Connor Gosatti) แฮกเกอร์หนุ่มที่ช่วยเจดเจาะระบบของอัมเบรลลาก็แทบไม่มีความจำเป็นใด ๆ กับเรื่องราวเท่าไหร่นักจนเหมือนซีรีส์ไปเสียเวลาเล่าเรื่องตรงนี้โดยใช่เหตุ

มิหนำซ้ำ เมื่อซีรีส์ตั้งธงว่าจะตัดสลับเรื่องราวทีนี้ความพินาศก็เกิดขึ้นทันที เพราะในขณะที่เรื่องเล่าในปัจจุบันของเจดในวัย 30 แทบไม่เดินหน้าแม้จะผ่านไป 3 ตอนแล้วก็ตามการตัดสลับฉากที่กำลังระทึกขวัญกลับมาเล่าเรื่องวัยรุ่นมีปัญหา 2 คนหลายครั้งก็สร้างความรำคาญอย่างช่วยไม่ได้ และพลอยดึงให้อารมณ์ที่กำลังไต่ระดับของคนดูถูกฉุดแบบหลายครั้งแทบจะหักอารมณ์เกินไปด้วยซ้ำ และกว่าเรื่องราวจะมาชนกันระหว่างอดีตกับปัจจุบันก็ปาไปตอนที่ 5 แล้ว และคนดูยังต้องมาทนกับซีนที่ดูเหมือนฉลาดแต่กลับชวนส่ายหัวมากมาย

ซ้ำร้ายที่สุด หลังจากเราได้ดูซีรีส์ฉบับรวมฮิตเมกะแดนซ์แบบไม่ค่อยลงตัวเท่าไหร่ ท้ายสุดพอมาตั้งคำถามว่าไอ้ยาจอย ที่ว่ามันมีประโยชน์อะไรนอกจากที่ซีอีโอบอกว่ามันจะเปลี่ยนแปลงโลก เพราะพอซีอีโอคนสวยอย่าง เอเวอลีน มาร์คัส บอกว่ามันรักษาโรคได้ล้านแปด เอาไปใช้กับภรรยาตัวเอง (อ่ะเอาใจ LGBTQI+ ซะหน่อย) แล้วช่วยให้อารมณ์ดี เธอยังบอกมันช่วยเรื่องอัลไซเมอร์ มะเร็งและอีกล้านแปดแม้มันจะทำให้หมาเป็นซอมบี้แล้วไล่ฆ่าคนก็ตาม

ส่วนเป้าหมายของเจดในปัจจุบันคือหาวิธีควบคุมหรือหลีกเลี่ยงซอมบี้ หรือจะฆ่าซอมบี้ หรือ จะเปลี่ยนซอมบี้กลับมาเป็นคน เอาจริง ๆ ดูครบ 8 ตอนกว่ามันจะทดลองได้น้ำหอมมาดามฟิน เอ้ย ! ฟีโรโมนซอมบี้ก็ปาไปตอนที่ 7 แล้ว ซึ่งด้วยความที่ทั้งเรื่องมันไม่เคยบอกเลยว่าเป้าหมายที่มันไปวิจัยซอมบี้คืออะไรคนดูเลยเคว้งและไม่รู้จะลุ้นให้เธอประสบความสำเร็จกับอะไรนอกจากหนีการตามล่าของอัมเบรลลา คอร์เพอเรชัน ซึ่งก็ตามมาด้วยคำถามว่าทำไม ? (ยันตอนจบก็บอกไม่ได้อยู่ดี 555)

Beartai Buzz รีวิวซีรีส์ Resident Evil
Beartai Buzz รีวิวซีรีส์ Resident Evil

นักแสดงดี ๆ ที่ต้องมาทนแสดงพฤติกรรมงี่เง่าของตัวละคร

แม้จะถูกแฟนเกมวิจารณ์ตั้งแต่ประกาศนักแสดงออกมาแต่เอาจริง ๆ แล้วส่วนตัวเชียร์นักแสดงกลุ่มนี้หลายคนเลยนะครับตั้งแต่ แลนซ์ เรดดิก ในบทอัลเบิร์ต เวสเกอร์ที่ดูจะทุ่มเทมาก แม้แต่จุดที่หนังมาเฉลยความจริงว่าตัวละครของเขามีความเกี่ยวข้องกับ อัลเบิร์ต เวสเกอร์ อย่างไรที่แม้จะดูแล้วเป็นซีนที่ออกมาติงต๊องแค่ไหนแต่ความเป็นนักแสดงก็ทำให้เห็นว่าเขาพร้อมทุ่มเทถ่ายทอดทุกบทบาทอย่างจริงจัง จะโหดก็โหดสุด จะติงต๊องก็เล่นซะคนดูปวดขมับได้เหมือนกัน

หรืออย่าง เอลลา บาลินสกา (Ella Balinska) ในบท เจด เวสเกอร์ ไทม์ไลน์ปัจจุบัน ด้วยหน้าตาสวยหวานที่ทำหนุ่ม ๆ หลงรักมาตั้งแต่ ‘Charlies Angels’ มาคราวนี้บาลินสกาก็ดูจะทุ่มเทไม่น้อยและหวังให้ชื่อ ‘Resident Evil’ ผลักดันให้แจ้งเกิดจริง ๆ แบบโยโววิช ทว่าอย่างที่บอกเลยครับคือพอบทหนังไม่เสริมส่งและตัดสินใจผิดพลาดกับการเล่า 2 ไทม์ไลน์ ผลลัพธ์คือต่อให้คนดูอยากเอาใจช่วยเจดแค่ไหน แต่สุดท้ายพอเราไม่ชัดเจนว่า เจด ต้องการอะไร ปรารถนาอะไรสำหรับคนที่เธอรักจริง ๆ มันเลยกลายเป็นการดูชะตากรรมเจดแบบห่างเหินและคิดแค่ว่าเมื่อไหร่สัตว์ประหลาดโผล่มาเธอก็คงจัดการมันได้อยู่ดี จนไร้ซึ่งความลุ้นระทึกใด ๆ

ข้ามมาที่ฝั่งสาวใหญ่สุดเซ็กซี่อย่าง เพาลา นูเนซ (Paola Nuñez) ที่เคยโผล่มาใน ‘Bad Boys For Life’ ก็มารับบทเอเวอลีน มาร์คัส ซีอีโออัมเบรลลา คอปอเรชันที่ทั้งสวย โหด และแต่ละชุดที่เธอใส่ก็น่ามองกว่านางเอกอย่างบาลินสกาซะอีก ซึ่งคาแรกเตอร์ของเธอดูเสริมส่งไม่น้อยนะครับ แต่พอบทหนังเต็มไปด้วยช่องโหว่และยังทำให้เธอดูเป็นคนไร้สติในตอนท้าย ๆ ซึ่งขัดกับความฉลาดและเป็นคนคุมเกมในตอนแรกก็น่าเสียดายเหมือนกัน แม้เราจะแอบโดนตกจากฉากเต้นสุดเซ็กซี่ ที่ไม่มีที่มาที่ไปแค่ไหนก็ตาม

Beartai Buzz รีวิวซีรีส์ Resident Evil
Beartai Buzz รีวิวซีรีส์ Resident Evil

หรือเขาจะใช้ AI ประมวลผลก่อนมาเขียนบทซีรีส์ ‘Resident Evil’ ?

อึกหนึ่งความพังของซีรีส์คือการจับซีนที่เหมือนหลุดมาจากซีรีส์และหนังที่ประสบความสำเร็จบน ‘Netflix’ แบบไม่ได้สนสี่สนแปดใด ๆ นอกจากฉากชีวิตไฮสคูลแสนระทมของ บิลลี เวสเกอร์ ที่เหมือนหลุดมาจากซีรีส์ซอมบี้เกาหลีตามที่ได้กล่าวมาแล้ว มันยังจับยัดซีนชวนเหวอมากมายทั้งสัตว์ประหลาดหนอนยักษ์ตอนต้น ฉากแมงมุมยักษ์ตอนต่อมาไปจนถึงฉากจระเข้ยักษ์ออกอาละวาด (อ่ะงงอ่ะดิ..มาได้ไง ?) แล้ว ซีรีส์ยังเต็มไปด้วยซีนที่ชวนปวดขมับอีกเพียบ

ยกตัวอย่างอย่างตอนที่ 5 ในฉากย้อนอดีตที่เจดและบิลลีต้องหากระเป๋าที่ อัลเบิร์ต เวสเกอร์ ซ่อนไว้ หนังก็เล่นกับปริศนาอย่างกับหลุดมาจากซีรีส์ ลูแปง (Lupin) หรือหนังแฟนตาซีอีกอักโข จนรู้สึกว่าแทนที่จะต้องเสียเวลาโชว์ตวามฉลาด (ที่ก็ดูไม่ค่อยฉลาด) น่าจะเอาเวลาไปเล่าเรื่องในส่วนของเจดในพาร์ตปัจจุบันมากกว่า (นี่ยังไม่พูดถึงอยู่ดี ๆ เจดก็ไปโผล่ในลัทธิประหลาดแบบงง ๆ อีกนะ)

https://youtu.be/oUkOD5dEgX8

หรือการพยายามสร้างปมดราม่าในครอบครัวเวสเกอร์ก็ดูจะเป็นส่วนที่ทำให้เห็นเลยว่าทีมเขียนบทไม่ได้ใส่ใจและลงลึกกับมันมากพอ ผลที่ได้คือเราเลยเห็นแค่เจดวัยเด็กที่ดูเป็นเด็กมีปัญหาและบิลลีที่ดูเป็นเด็กเก็บกด แต่ไม่ต้องห่วงนะครับทั้งคู่สร้างความน่ารำคาญให้คนดูได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย มิหนำซ้ำเมื่อเรื่องราวตัดสลับไปปัจจุบันยังเหมือนตัวละครเป็นคนละคนและห่างไกลกันจนเหมือนตัวละครอยู่กันคนละมิติด้วยซ้ำ

ซึ่งตรงนี้สรุปได้ง่าย ๆ ก็คือบางทีเน็ตฟลิกซ์อาจต้องปรับความเข้าใจเสียใหม่แหละว่างานสร้างสรรค์บางอย่างอาจตั้งต้นที่บิ๊กดาต้าไม่ได้ และผลลัพธ์ก็ออกมาพังพินาศอย่างซีรีส์ ‘Resident Evil’ นี่แหละครับ อ้อ ! ไม่ต้องรีบใส่ จระเข้กับสัตว์มุดดินก็ได้ เพราะอีกไม่นานโรงหนังเมืองไทยจะมีทั้ง ‘Leio โคตรแย้ยักษ์’ และ ‘The Lake บึงกาฬ’ ฉายอยู่แล้ว

Beartai Buzz รีวิวซีรีส์ Resident Evil
กดที่ภาพเพื่อชมซีรีส์ทาง Netflix

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส