หมายเหตุ: บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรุนแรง เพศ และการฆาตกรรม


จากความสำเร็จของ ‘Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story’ (2022) ลิมิเต็ดซีรีส์ของ Netflix ที่ตามเกาะติดชีวิตของ เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahmer) ฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดผู้ก่อเหตุฆาตกรรมและกินเหยื่อ 17 รายที่ได้ เอียน เบรนแนน (Ian Brennan) จากซีรีส์ ‘Glee’ (2009–2015) และ ไรอัน เมอร์ฟีย์ (Ryan Murphy) จากซีรีส์ ‘American Horror Story’ และ ‘9-1-1’ มาทำหน้าที่โชว์รันเนอร์

ตัวซีรีส์โด่งดังจนติดอันดับ 2 ซีรีส์ภาษาอังกฤษที่มียอดผู้ชมมากที่สุดตลอดกาลของ Netflix ภายใน 28 วัน รวมทั้งซีรีส์ และตัวของ อีแวน ปีเตอร์ส (Evan Peters) นักแสดงหนุ่มผู้สวมบทฆาตกรโหด ก็ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง และคว้ารางวัลได้ในหลาย ๆ เวที โดยมีชื่อเข้าชิง Primetime Creative Arts Emmy Awards สูงถึง 7 สาขา คว้า 1 รางวัลจากเวที Primetime Emmy Awards และตัวของปีเตอร์สยังคว้ารางวัลนักแสดงนำชาย ประเภทลิมิเต็ดซีรีส์ ซีรีส์จบในตอน หรือภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยม จากเวทีลูกโลกทองคำได้อีกด้วย

และด้วยเหตุนี้เองก็ทำให้ซีรีส์ ‘Monster’ ไม่ได้หยุดแค่การเป็นลิมิเต็ดซีรีส์ความยาว 10 ตอน เพราะในที่สุดก็ได้มีการต่อยอดออกมาเป็นซีรีส์ที่นำเอาชีวิตจริงของฆาตกรกระฉ่อนโลกมาดัดแปลงเป็นซีรีส์ โดยเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา Netflix ได้ปล่อยซีซันที่ 2 ของซีรีส์ที่ใช้ชื่อว่า ‘Monsters: The Lyle and Erik Menendez Story’ (2024) ที่คราวนี้หันไปสำรวจความเลือดเย็นของไลล์และเอริก 2 พี่น้องตระกูลเมเนนเดซที่ร่วมกันก่อเหตุฆาตกรรมพ่อและแม่ของตัวเองอย่างโหดเหี้ยม

และนอกจากนี้ Netflix ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ซีรีส์ ‘Monster’ กำลังจะได้รับการสานต่อในซีซัน 3 ซึ่งจะเป็นการเล่าเรื่องของ เอ็ด กีน (Ed Gein) ฆาตกรผู้ก่อเหตุสังหารและนำศพมาชำแหละทำเป็นข้าวของเครื่องใช้ แต่ก่อนที่เราจะได้ไปสำรวจเรื่องราวอันโหดร้ายของฆาตกรระดับตำนานคนนี้ นี่คือ 3 เหตุฆาตกรรมโหดเหี้ยมที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของ 4 ฆาตกร อันเป็นแรงบันดาลใจของซีรีส์ ‘Monster’ ทั้ง 3 ซีซัน


‘Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story’ (2022)
Dahmer – Monster The Jeffrey Dahmer Story

เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ (Jeffrey Dahmer) ฆาตกรต่อเนื่องฉายานาม ‘Milwaukee Cannibal’ หรือมนุษย์กินคนแห่งมิลวอกี ที่แม้ว่าภาพลักษณ์ของเขาจะดูไม่มีพิษมีภัย แต่เบื้องหลัง เขาคือผู้ก่อเหตุล่อลวงเหยื่อเพศชายผิวดำ 17 คนมาสังหาร ตั้งแต่ช่วงปี 1978-1991 และกลายเป็นที่สนใจของชาวอเมริกัน จนมีการนำไปสร้างเป็นหนัง รวมทั้งสารคดีอีกหลาย 10 เรื่อง

ดาห์เมอร์มักก่อเหตุด้วยการหาเหยื่อที่เป็นชายผิวดำที่บาร์เกย์ ตามห้างสรรพสินค้า หรือป้ายรถโดยสาร ดาห์เมอร์จะล่อลวงเหยื่อให้ไปมีอะไรด้วย ก่อนจะมอมเหยื่อด้วยยานอนหลับผสมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนก่อเหตุสังหารจนเสียชีวิต มิหนำซ้ำ ดาห์เมอร์ยังก่อเหตุวิตถารด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับศพที่ตนเองสังหาร ก่อนจะทำการหั่นหรือทำลายศพ หรือบางครั้งก็นำชิ้นส่วนศพมากิน ก่อนจะเก็บหัวกะโหลก หรืออวัยวะเพศของเหยื่อ หรือบางครั้งก็ถ่ายรูปตนตอนที่กระทำอนาจาร หรือตอนทำลายศพเอาไว้เป็นที่ระลึก

ในวัยเด็ก ดาห์เมอร์เติบโตมาในครอบครัวของพ่อที่ทำงานด้านเคมีจนไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัว ส่วนแม่ก็มีอาการซึมเศร้าและติดยาเสพติด พ่อกับแม่ของเขามักทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เป็นประจำ ดาห์เมอร์เติบโตมาพร้อมกับความหลงใหลที่แปลกจากเด็กคนอื่น เนื่องจากเขาหลงใหลในซากศพสัตว์ โครงกระดูก และมักจะเก็บซากเหล่านั้นมาใส่โหลและดองด้วยน้ำยาดองศพ จนเมื่ออายุได้ 14 ปี ช่วงที่พ่อแม่ของเขาหย่าร้าง เขาจึงเริ่มเกิดความคิดอยากสังหารเหยื่อ และเขาก็สังหารเหยื่อคนแรกได้สำเร็จเมื่อตอนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ปี 1978

หลังจากเว้นช่วงไปนาน ดาห์เมอร์ก่อเหตุสังหารเหยื่อที่เขาล่อลวงไปยังโรงแรม ก่อนจะเริ่มสังหารเหยื่ออีก 2 รายโดยใช้ห้องใต้ดินในบ้านของย่าเป็นแหล่งทำลายหลักฐาน แม้ว่าดาห์เมอร์จะถูกจับกุมหลายครั้ง โดยเฉพาะในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กชาย แต่พ่อของเขาก็มักจะเขียนจดหมายถึงศาลเพื่อขอให้มีการพิจารณาให้ลูกชายเข้ารับการรักษา แต่เขาก็ยังออกจากคุกและลงมือสังหาร จากฆาตกรต่อเนื่องกลายเป็นฆาตกรโรคจิตที่พยายามสรรหาวิธีในการทรมานเหยื่อ ตั้งแต่การฉีดกรดเข้มข้นเข้าร่างกาย ผ่าหรือใช้สว่านเจาะสมองเหยื่อในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ และเริ่มหันมากินเนื้อเหยื่อ ก่อนจะใช้สารเคมีรุนแรงเพื่อทำลายหลักฐาน

เหตุการณ์หนึ่งที่บ่งบอกถึงความผิดพลาดของตำรวจในการบังคับใช้กฎหมายก็คือ เด็กชายชาวลาวอายุ 14 ปีที่เอาตัวรอดจากเงื้อมมือดาห์เมอร์มาได้อย่างหวุดหวิด ด้วยสภาพเปลือยกายและถูกฉีดสารเคมีเข้าสมองจนเกิดอาการมึนงง ผู้หญิงคนหนึ่งพบเห็นเด็กชายคนนึ้จึงพาเขาไปแจ้งตำรวจ แต่กลายเป็นว่าดาห์เมอร์กลับโกหกตำรวจว่าเป็นคู่ขา และอาการมึนงงเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ แทนที่ตำรวจจะสงสัย กลับเชื่อคำของดาห์เมอร์ และปล่อยเด็กชายกลับสู่เงื้อมมือปีศาจ

ดาห์เมอร์ถูกตำรวจจับกุมตัวได้ในวันที่ 22 กรกฎาคม ปี 1991 ในอะพาร์ตเมนต์ส่วนตัวของเขา หลังจากที่ตำรวจพบเห็นชายผิวดำที่ถูกสวมกุญแจมือและวิ่งหลบหนีออกมาได้ ตำรวจเข้าเก็บหลักฐาน ก่อนจะพบซากและชิ้นส่วนมนุษย์ ถังสารเคมีในการย่อยศพ และรูปถ่าย แม้ดาห์เมอร์จะให้ความร่วมมือและชี้เบาะแสกับตำรวจเป็นอย่างดี แต่ด้วยการก่อคดีอันร้ายแรงนับครั้งไม่ถ้วน การเลือกเหยื่อที่เป็นคนชายขอบ เช่น เกย์ผิวดำ ที่ในเวลานั้นยังไม่ได้รับการยอมรับในสังคม รวมทั้งคนต่างถิ่นที่อพยพมาแบบผิดกฎหมาย ทำให้การสาวมาถึงตัวเขาจึงเป็นเรื่องยาก

ศาลตัดสินให้ดาห์เมอร์รับโทษจำคุกตลอดชีวิต 16 ครั้ง รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 941 ปี จากการสังหารเหยื่อรวมทั้งหมด 17 ราย แต่หลังจากใช้ชีวิตหลังกำแพงได้เพียง 2 ปี ดาห์เมอร์ถูกนักโทษผิวดำ คริสโตเฟอร์ สการ์เวอร์ (Christopher Scarver) และพรรคพวก ใช้ท่อนเหล็กรุมทำร้าย ก่อนจะเสียชีวิตในระหว่างนำตัวส่งโรงพยาบาล เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ปี 1994

สามารถรับชมได้ทาง Netflix


‘Monsters: The Lyle and Erik Menendez Story’ (2024)
Monsters: The Lyle and Erik Menendez Story

ช่วงเวลาเย็นของวันที่ 20 สิงหาคม ปี 1989 โฮเซ เมเนนเดซ (José Menendez) นักธุรกิจที่ไต่เต้าจากการเป็นผู้อพยพชาวคิวบา และกลายเป็นผู้บริหารระดับสูงในอุตสาหกรรมเพลงและภาพยนตร์ และคิตตี หรือ แมรี หลุยส์ เมเนนเดซ (Mary Louise Menendez) ผู้เป็นภรรยากำลังนั่งดูโทรทัศน์ในห้องทำงานของโฮเซ ที่อยู่ในคฤหาสน์หลังงามย่านเบเวอรีฮิลล์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ดินแดนฮอลลีวูด

ทันใดนั้น ไลล์ เมเนนเดซ (Lyle Menendez) วัย 21 ปี และ เอริก เมเนนเดซ (Erik Menendez) น้องชายวัย 19 ปี ได้บุกเข้าไปยังห้องทำงานของเขาพร้อมกับปืนลูกซองในมือ ทั้งคู่ใช้ปืนกระหน่ำยิงพ่อของเขาทั้งหมด 6 นัด ส่วนแม่ของเขาถูกยิง 10 นัดจนเสียชีวิตบนโซฟา และแม้ว่าพวกเขาจะกระหน่ำยิงเหยื่อจนแน่นิ่งชนิดที่เรียกว่ากระสุนหมดไปแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ยังคงลงมือบรรจุกระสุน และยิงซ้ำ ๆ เข้าที่ร่างของทั้งคู่จนพรุนไปทั่ว ก่อนที่ทั้งคู่จะลงมือเก็บปลอกกระสุนออกไปจากจุดเกิดเหตุ

ในตอนแรกที่ตำรวจเข้ามาวินิจฉัยคดี ไม่มีใครคาดคิดว่าเป็นฝีมือของบุตรชายของทั้งคู่ เด็กหนุ่ม 2 คนเป็นที่รู้จักในภายหลังว่า พี่น้องตระกูลเมเนนเดซ (Menendez Brothers) แต่วินิจฉัยว่าอาจเป็นฝีมือของคู่แข่ง หรืออาจเป็นมาเฟียผู้มีอิทธิพลในวงการสื่อ รวมทั้งยังไม่พบหลักฐานการชิงทรัพย์ คดีนี้กลายเป็นข่าวอื้อฉาว จนถึงเดือนมีนาคม ปี 1990 หญิงสาวผู้เป็นคนรักของจิตแพทย์ที่รักษาไลล์และเอริก ได้ให้การกับตำรวจว่า ทั้งคู่ได้สารภาพ รวมทั้งมีการบันทึกเทปเอาไว้ว่า พวกเขาคือคนที่ลงมือสังหารพ่อและแม่ของตัวเอง ตำรวจได้ใช้หลักฐานนี้ในการจับกุมตัวทั้งคู่ในฐานะผู้ต้องหา

คดีนี้กลายเป็นข่าวที่ได้รับความสนใจของคนทั้งประเทศที่ตั้งคำถามว่า ทำไมทายาทของครอบครัวมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งถึงได้ลงมือสังหารบุพการีของตนเองได้อย่างเลือดเย็น แต่สิ่งที่ช็อกยิ่งกว่าก็คือ หลังจากที่ทั้งคู่ถูกจับกุม ก่อนจะมีการไต่สวนต่อศาลในวันที่ 20 กรกฎาคม ปี 1993 ทั้งคู่ได้ให้การต่อศาลว่า ที่ลงมือก่อเหตุไปเป็นเพราะกลัว ไลล์เล่าว่า เขาเคยถูกพ่อคุกคามทางเพศเมื่อตอนอายุ 6 ขวบ จนเมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบ พ่อก็หันไปคุกคามทางเพศเอริกแทน โดยที่แม่ของเขาก็รับรู้

ความลับดำมืดของตระกูลมหาเศรษฐีค่อย ๆ ถูกเปิดโปงออกมา สังคมเริ่มเอนเอียงและเทความเห็นใจไปยังทั้งคู่ ผู้เคยตกเป็นเหยื่อของการเลี้ยงลูกด้วยความเข้มงวด และการล่วงละเมิดทางเพศโดยพ่อแท้ ๆ รวมถึงแม่ที่รู้เห็นแต่ไม่ได้คิดจะปกป้องหรือแก้ไขแต่อย่างใด เอริกข่มขู่พ่อและแม่ว่าจะนำเรื่องนี้ออกไปแฉ แต่ทั้งคู่กลับคิดไปเองว่า หากนำไปแฉจริง พ่อของเขาคงไม่ปล่อยเอาไว้แน่นอน จนนำไปสู่ความแค้นที่ส่งผ่านกระสุนปืน

แต่ในขณะที่บางส่วนก็มองทั้งคู่เป็นเพียงเด็กนรกที่กุเรื่องการถูกล่วงละเมิดทางเพศมาเป็นข้ออ้าง เพราะตำรวจพบว่าทั้งคู่ได้นำเงินของพ่อแม่ไปซื้อนาฬิกาหรู ลงทุนในทรัพย์สิน และใช้ชีวิตหรูหรา หลังจากที่พ่อและแม่เพิ่งถูกสังหารไปไม่นาน นั่นจึงทำให้อัยการที่ทำคดีนี้ตั้งธงว่า แรงจูงใจของผู้ก่อเหตุนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องเงินเป็นหลัก

แม้จะเคยมีจดหมายจากเพื่อนของเอริกที่เสียชีวิตไปแล้ว ได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ให้กับแม่ของเขาในปี 1988 ซึ่งเปิดเผยว่า มีคนนอกที่รู้เห็นถึงพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศของโฮเซจริง ๆ ก็ตาม แต่สุดท้ายหลักฐานนี้ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาโทษ ศาลตัดสินให้ทั้งคู่มีความผิดจริงในข้อหาฆ่าโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ผู้พิพากษามีคำตัดสินให้ทั้งคู่รับโทษจำคุกตลอดชีวิต โดยไม่ได้รับสิทธิ์ลดหย่อนผ่อนโทษ

สามารถรับชมได้ทาง Netflix


‘Monsters’ ซีซัน 3
Charlie Hunnam Rebel Moon - Part One A Child of Fire

ในซีซันที่ 3 ของซีรีส์ ‘Monsters’ จะเป็นการเล่าถึงเรื่องราวของ เอ็ด กีน (Ed Gein) ฆาตกรระดับตำนานเจ้าของสมญา ‘นักฆ่าแห่งเพลนฟิลด์’ (Butcher of Plainfield) แม้ตลอดชีวิต กีนจะสังหารเหยื่อไปเพียง 2 รายเท่านั้น (ไม่รวมเหตุฆาตกรรมที่เขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องหลายคดี) แต่ด้วยวิธีการอันโหดเหี้ยมวิปริตผิดมนุษย์มนาของเขา ก็ทำให้กีนกลายเป็น 1 ในฆาตกรระดับตำนานที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวละครฆาตกรในหนังและซีรีส์แนว Slasher มากมาย ตั้งแต่ นอร์แมน เบตส์ ใน ‘Psycho’ (1960), เลตเธอร์เฟซ ใน ‘The Texas Chain Saw Massacre’ (1974) และฮันนิบาล เล็กเตอร์ ใน ‘The Silence of the Lambs’ (1991)

เอ็ด กีน เกิดที่เพลนฟิลด์ เมืองเล็ก ๆ ในรัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกาในปี 1906 เขาเติบโตมาในครอบครัวที่พ่อติดแอลกอฮอล์จนต้องเปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ และแม่ผู้เคร่งศาสนา กีนเป็นเด็กที่มีนิสัยขี้อาย แต่บางครั้งก็มักจะทำนิสัยแปลก ๆ เช่นหัวเราะออกมาเองเฉย ๆ กีนโตมาด้วยการเลี้ยงดูของออกัสตา (Augusta) แม่ผู้รังเกียจพ่อและเลี้ยงลูกอย่างเข้มงวด ลงโทษด้วยความดุร้าย และสั่งห้ามเขาคบหากับเพื่อน เธอมักปลูกฝังเขาว่าโลกคือดินแดนแห่งบาป และสตรีคือโสเภณี เป็นปีศาจที่บุรุษไม่ควรเข้าใกล้ ทำให้กีนโตมากลายเป็นคนโดดเดี่ยว เงียบขรึม และไม่ค่อยมีเพื่อน

หลังจากพ่อเสียชีวิต กีนและพี่ชายของเขาถูกแม่สั่งห้ามไปโรงเรียน และให้ทำงานในฟาร์มเท่านั้น ทำให้เขาแทบไม่ได้เจอใคร ตลอดชีวิตเขาเคยออกจากบ้านเพียงแค่ 2 ครั้ง ยิ่งเข้าสู่วัยหนุ่ม กีนยิ่งสับสนในตัวเอง เขาอยากเป็นผู้หญิงแบบแม่ แต่เขาก็ยังอยากมีภรรยาในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง กีนและพี่ชายของเขากลายเป็นช่างรับจ้างทั่วไปในหมู่บ้าน แต่แล้วพี่ชายของเขาก็เสียชีวิตอย่างลึกลับ

และต่อมาแม่ของเขาก็เสียชีวิตอีก เขาจึงกลับไปที่สุสานและขุดเอากะโหลกของแม่กลับมาไว้ที่บ้าน และเริ่มตระเวนตามสุสานเพื่อหาหลุมศพหญิงสาว และขุดศพขึ้นมา ก่อนจะลอกผิวหนังเอามาตัดเย็บเป็นชุดหนังผู้หญิง บางครั้งเขาลอกผิวหนังใบหน้าออกมาทำเป็นหน้ากาก บางครั้งก็เอาชิ้นส่วนที่ชำแหละไว้มาเย็บต่อกันเพื่อเอาไว้ใช้เต้นรำที่สุสาน หรือบางครั้งก็นำเอาชิ้นส่วนมาปะติดปะต่อกันเป็นของประดับตกแต่งบ้าน

กีนเริ่มจากการเป็นนักปล้นศพ กลายเป็นฆาตกร หลังจากที่ในปี 1951 มีนายพรานหายตัวไป และมีเด็กหญิงที่ถูกลักพาตัวไปในปี 1953 หลักฐานเชื่อมโยงว่ากีนอาจเกี่ยวข้อง แต่สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธ จนไม่อาจระบุได้แน่ชัดว่ากีนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเหล่านี้หรือไม่ แต่ที่เกี่ยวข้องแน่ชัดก็คือ คดีฆาตกรรมผู้หญิง 2 คน คนแรกคือ แมรี โฮแกน (Mary Hogan) เจ้าของบาร์ในปี 1954 และ เบอร์นิส วอร์เดน (Bernice Worden) เจ้าของร้านชำที่หายตัวไปอย่างลึกลับในปี 1957

ตำรวจเดินทางไปสอบสวนกีนถึงในฟาร์ม ก่อนจะต้องพบกับเรื่องช็อก เจ้าหน้าที่พบศพของวอร์เดนถูกตัดหัว ร่างกายมีร่องรอยการผ่าคว้านอวัยวะ รวมทั้งยังพบชิ้นส่วนหัวใจ รวมทั้งของตกแต่งที่ทำขึ้นจากศพ ทั้งกะโหลกที่ถูกทำเป็นถ้วย เก้าอี้หุ้มเบาะหนังมนุษย์ ชุด หน้ากาก ถุงมือที่ทำมาจากผิวหนังและใบหน้าผู้หญิง เข็มขัดที่ทำจากนมของผู้หญิง ช่องคลอด 9 ชิ้นที่เก็บไว้ในกล่องรองเท้า รวมทั้งชิ้นส่วนฟันและซากอื่น ๆ วางเกลื่อนทั่วห้องนับร้อย ๆ ชิ้น กีนสารภาพกับตำรวจว่า เขาใช้ปืนไรเฟิล .22 ยิงสังหารวอร์เดนเข้าที่ท้ายทอย ก่อนจะนำศพไปไว้ที่บ้าน เขาสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือสังหารโฮแกน และเป็นผู้ขโมยศพจากสุสานท้องถิ่นกว่า 40 แห่งในชั่วระยะเวลาตั้งแต่ปี 1947-1952

กีนถูกนำตัวขึ้นศาล แต่ลูกขุนตัดสินว่าเขามีปัญหาทางจิต จึงต้องมีการคุมตัวไปรักษาในโรงพยาบาลจิตเวช บ้านที่เต็มไปด้วยซากศพของเขา กลายมาเป็นที่สนใจของชาวบ้านที่ต่างแห่แหนมาเยี่ยมชม จนกระทั่งอดีตผู้ช่วยนายอำเภอ ซึ่งเป็นลูกชายของวอร์เดนเป็นผู้สั่งให้วางเพลิงบ้านของกีนจนราบคาบ หลังจากรักษาอาการทางจิต 11 ปี กีนถูกนำตัวมาขึ้นศาล คณะลูกขุนตัดสินว่ามีความผิดจริง แต่ด้วยปัญหาทางจิตก็ทำให้ไม่สามารถพิพากษาได้ เขาจึงถูกส่งเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชตลอดชีวิต ก่อนจะเสียชีวิตลงในวันที่ 26 กรกฎาคม ปี 1984 ด้วยวัย 77 ปี

เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา Netflix ได้ประกาศให้มีการสร้างซีซันที่ 3 ของซีรีส์ ‘Monsters’ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ แต่จะเป็นการเล่าเรื่องของกีน และยังคงได้ทีมงานชุดเดิมกลับมาสร้างสรรค์ ส่วนนักแสดงที่จะมารับบทฆาตกรระดับตำนานก็คือ ชาร์ลี ฮันแนม (Charlie Hunnam) นักแสดงจาก ‘Pacific Rim’ (2013), ซีรีส์ ‘Sons of Anarchy’ (2008–2014) และภาพยนตร์ไซไฟอวกาศ ‘Rebel Moon Part One: A Child of Fire’ (2023) ของผู้กำกับ แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder) โดยจะเริ่มต้นเปิดกล้องถ่ายทำภายในเดือนตุลาคมนี้