เชื่อว่าแฟน ๆ น่าจะยังคงรอคอยพบกับบทสรุปของโลกกลับด้าน และเรื่องราวของเด็ก ๆ ชาวเมืองฮอว์กกินส์ในซีซันสุดท้ายของซีรีส์ ‘Stranger Things’ ซีซันที่ 5 ซึ่งในขณะนี้ก็ยังคงอยู่ในขั้นตอนการผลิต และจะออกฉายให้รับชมพร้อมกันทาง Netflix ในปี 2025 แน่นอนว่าตอนนี้ยังไม่มีข่าวความคืบหน้าอะไรมากกว่านี้ แต่ก็มีข่าวดีที่แฟนหนังน่าจะดีใจไม่น้อย เพราะซีซันสุดท้ายนี้ นอกจากพี่น้องดัฟเฟอร์ (Duffer Brothers) ครีเอเตอร์ของซีรีส์จะลงมือกำกับเองแล้ว
ทั้งคู่ยังชักชวนผู้กำกับระดับตำนาน แฟรงก์ ดาราบอนต์ (Frank Darabont) ผู้กำกับที่มีผลงานกำกับหนังยาวตลอดชีวิตเพียง 4 เรื่อง แต่เป็นหนังที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดของหนังสร้างความหวังและแรงบันดาลใจให้ผู้ชม ได้แก่ ‘The Shawshank Redemption’ (1994), ‘The Green Mile’ (1999), ‘The Majestic’ (2001), ‘The Mist’ (2007) รวมทั้งซีรีส์ ‘The Walking Dead’ (2010–2011) มาร่วมกำกับในซีซันสุดท้าย หลังจากที่ห่างหายจากฮอลลีวูดไปนานถึง 11 ปี
ดาราบอนต์ได้ให้สัมภาษณ์กับ The Daily Beast ซึ่งนอกจากเขาจะเล่าถึงปรากฏการณ์หนังน้ำดีที่เจ๊งตอนฉายแถมชวดออสการ์อย่าง ‘The Shawshank Redemption’ แล้ว ผู้กำกับวัย 65 ปียังเปิดเผยเป็นครั้งแรกด้วยว่า เขาตัดสินใจตอบรับคำเชิญของพี่น้องดัฟเฟอร์ ยอมหวนกลับมาทำงานกำกับ 2 ตอน ในซีซันสุดท้ายของซีรีส์ เหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้เขายอมกลับมาหลังจากห่างหายจากอาชีพนี้ไปนานนับทศวรรษก็คือ ความประทับใจของเขาและภรรยาที่มีต่อเนื้อหาใน ‘Stranger Things’
“สิ่งที่ทำให้ผมยอมออกมาจากการเกษียณจริง ๆ ก็เป็นเพราะว่าผมกับภรรยารักซีรีส์เรื่องนี้มาก ๆ ครับ คือด้วยความที่เนื้อหาในปัจจุบันมันเต็มไปด้วยเรื่องราวของคนที่ทำสิ่งเลวร้ายด้วยเหตุผลที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว แต่ ‘Stranger Things’ กลับเป็นเนื้อหาที่มีหัวใจมาก ๆ และความรู้สึกที่เป็นบวกเหล่านั้นคือสิ่งที่ผมรู้สึกได้จากซีรีส์เรื่องนี้จริง ๆ”
ด้วยความที่ดาราบอนต์นั้นเป็นแฟนตัวยงหนังสือนิยายของ สตีเฟน คิง (Stephen King) หลังจากที่เขาทำงานเป็นผู้ช่วยในฝ่ายโปรดักชันมานาน เขาจึงเริ่มต้นส่งจดหมายขออนุญาตดัดแปลงเรื่องสั้นของคิงเรื่อง ‘The Woman in the Room’ เป็นหนังสั้นในปี 1983 ซึ่งคิงได้ขายสิทธิ์ดัดแปลงบทให้เขาในราคา 1 เหรียญ เพื่อสนับสนุนคนทำหนังหน้าใหม่นำบทประพันธ์ของเขาไปทำเป็นหนังที่ไม่มีจุดประสงค์ในการแสวงหากำไรได้
จนเมื่อเวลาผ่านมาหลายปี ดาราบอนต์ที่เริ่มมีงานในฐานะคนเขียนบทหนัง ได้กลับมาขอซื้อสิทธิ์ดัดแปลงเรื่องสั้น ‘Rita Hayworth and Shawshank Redemption’ ให้กลายเป็นบทหนังยาว คิงที่ได้ชม ‘The Woman in the Room’ ผ่านม้วนเทป VHS และชื่นชอบผลงานของเขา จึงยินยอมขายสิทธิ์ให้ในราคาเพียง 5,000 เหรียญ เพราะเขามองว่าเรื่องสั้นดราม่าที่หลุดธีมงานสยองขวัญของเขาเรื่องนี้ดูไม่น่าจะมีศักยภาพในการดัดแปลงเป็นหนัง และอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในวงกว้าง
หลังจากใช้เวลา 8 สัปดาห์ในการดัดแปลงบท ดาราบอนด์ได้ส่งบทไปยัง Castle Rock Entertainment เนื่องจากผู้ก่อตั้งอย่าง ร็อบ ไรเนอร์ (Rob Reiner) เคยดัดแปลงเรื่องสั้นอีกเรื่องของคิงอย่าง ‘Stand by Me’ (1986) จนประสบความสำเร็จแล้ว จนกระทั่ง ลิซ กลอตเซอร์ (Liz Glotzer) ผู้บริหารสตูดิโอในขณะนั้นได้อ่านบทและยืนยันว่าจะต้องเอาบทหนังเรื่องนี้ไปทำเป็นหนัง ถึงขั้นยื่นคำขาดว่าจะขอลาออก จนกระทั่งไรเนอร์ได้ซื้อบทมากำกับเองและวางตัวให้ ทอม ครูซ (Tom Cruise) มารับบท แอนดี ดูเฟรน เจ้าหน้าที่ธนาคารที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในข้อหาฆาตกรรมภรรยา
แต่สุดท้ายดาราบอนต์ก็ปฏิเสธและขอลงมือกำกับด้วยตัวเอง ก่อนจะได้นักแสดงชื่อดังทั้ง ทิม ร็อบบินส์ (Tim Robbins) มารับบทเป็น แอนดี ดูเฟรน และ มอร์แกน ฟรีแมน (Morgan Freeman) มารับบท เอลลิส บอยด์ เรดดิง หรือ เรด นักโทษรุ่นพี่ที่กลายมาเป็นเพื่อนหลังกำแพงของแอนดีในเวลาต่อมา
แม้ ‘The Shawshank Redemption’ จะเป็นหนังที่ได้รับการยกย่องมาทุกยุคทุกสมัยว่าเป็นหนังที่สร้างแรงบันดาลใจและความหวังให้แก่ผู้ชม แต่ตอนฉาย หนังเรื่องนี้ก็อยู่ในฐานะที่ไม่ประสบความสำเร็จเอาเสียเลยในเชิงพาณิชย์ ทำรายได้ 73 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 25 ล้านเหรียญ และแม้ว่าจะได้เข้าชิงรางวัลออสการ์มากถึง 7 สาขา แต่กลับไม่ได้รางวัลกลับบ้านเลยแม้แต่สาขาเดียว (สาเหตุหนึ่งก็เพราะ 1994 เป็นปีที่ฮอลลีวูดมีหนังคุณภาพแข็ง ๆ ออกมาเยอะมากด้วย)
ดาราบอนต์ได้มีโอกาสพูดถึงปัจจัยที่เขาคิดว่าเป็นตัวที่ทำให้ ‘The Shawshank Redemption’ ยังคงมีผู้ชมอยู่เรื่อย ๆ แม้จะผ่านเวลามากว่า 30 ปีแล้วก็ตาม
“คือการเปิดตัวครั้งแรกตอนปี 1994 มันก็ไม่ได้ถือว่าประสบความสำเร็จอะไรนะครับ จริง ๆ แล้วผมก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นความสำเร็จด้วยซ้ำ มันออกจะเป็นความล้มเหลวนิดหน่อยด้วยล่ะ แต่มันกลับกลายเป็นวิดีโอหนังที่ถูกเช่ามากที่สุดในปี 1995 ผมคิดว่ามันเป็นเพราะหลายเหตุผล หลัก ๆ ก็คือการที่หนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 7 รางวัล แต่เราก็ไม่ได้อะไรสักรางวัลเลย แต่มันก็ทำให้ผู้คนสนใจหนังมากขึ้น”
“รวมทั้งการฉายในเคเบิลทีวีอย่างต่อเนื่อง มันทำให้หนังอยู่ในสถานะเดียวกับ ‘The Wizard of Oz’ (1939) หรือ ‘Casablanca’ (1942) ไม่ใช่ในแง่ของคุณภาพนะ แต่พอหนังมันได้ฉายออกทางทีวีบ่อย ๆ ผู้ชมก็จะค้นพบมัน และนั่นแหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Shawshank ซึ่งผมเองก็ยินดีมากที่มีคนชื่นชอบมากขนาดนี้”
ก่อนหน้าที่จะห่างหายไปจากฮอลลีวูด ดาราบอนต์ทิ้งท้ายการทำงานของเขาด้วยการร่วมกำกับ 3 ตอนในซีรีส์อาชญากรรมนีโอนัวร์ ‘Mob City’ (2013) ของช่อง TNT ก่อนจะถูกยกเลิกการสร้างหลังจากฉายไปได้เพียงซีซันเดียว ส่วน ‘The Mist’ ก็กลายเป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่เขากำกับในตอนนั้น (เท่ากับว่าเขาไม่ได้กำกับหนังยาวอีกเลยมานานกว่า 17 ปี) และหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กลับมาทำงานกำกับให้หนังหรือซีรีส์เรื่องไหนอีกเลย จนทำให้หลายคนมองว่าเขาอาจจะตั้งใจเกษียณจากงานกำกับไปแล้วหรือไม่
และเมื่อดาราบอนต์ยอมกลับมานั่งเก้าอี้ผู้กำกับซีรีส์ ‘Stranger Things’ สิ่งที่หลายคนสงสัยก็คือ นี่จะเป็นการหันกลับมาสานต่องานถนัดของเขาแบบเต็มตัวต่อไปในอนาคตหรือไม่
“ใครจะไปรู้ล่ะครับ ? คือตัวผมเองไม่ได้คิดถึงเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ สักเท่าไหร่ แต่ผมคิดถึงการได้อยู่ในกองถ่ายกับคนที่มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า มันอาจจะเกิดขึ้นและจบลงภายในครั้งนี้ครั้งเดียวเลยก็ได้นะ ก็คงต้องรอดูกันต่อไป”