- ดัดแปลงจากนิยาย ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ของ วินทร์ เลียววาริณ
- สร้างสรรค์โดย : นักศึกษาสาขาวิชาภาพยนตร์และโทรทัศน์ ภาควิชานิเทศศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
- เหมาะสำหรับ : แฟนนิยายประชาธิปไตยบนเส้นขนาน และแฟนซีรีส์การเมือง
จ่าตุ้ย พันเข็ม ตำรวจหนุ่มได้รับภารกิจให้ไปจับ เสือย้อย นักโทษการเมืองตัวฉกาจศัตรูของทางการ แล้วเรื่องราวการตามล่า มิตรภาพ หักเหลี่ยม เฉือนคม ก็ดำเนินไปพร้อมหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่อำนาจเปลี่ยนมือบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคืออุดมการณ์ของทั้งสองที่เหมือนเป็นเส้นขนานไม่มีวันบรรจบกันได้
ส่วนตัวแล้ว ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ไม่เพียงเป็นนิยายรางวัลซีไรต์แต่ยังถือเป็นหลักไมล์สำคัญสำหรับนิยายอิงประวัติศาสตร์การเมือง และถ้าใครได้อ่านคงรู้ว่าความยากสำคัญในการดัดแปลงนิยายเรื่องนี้เข้าขั้นยากมหาโหด เพราะนอกจากการจะตีความตัวละครอย่างจ่าตุ้ย พันเข็ม และ เสือย้อยออกมาเป็นภาพได้ยากแล้ว ตัวนิยายยังเล่าขนานไปกับเหตุการณ์จุดพลิกผันทางการเมืองไทย ทั้งขบวนการเสรีไทย พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย รวมถึงยุคจอมพลครองเมือง ที่นอกจากบอกเล่าประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นจริงได้เข้าใจง่ายและสนุกตื่นเต้นแล้ว ยังสามารถวิพากษ์การเมืองปัจจุบันของไทยที่ไม่ว่าผ่านมากี่สิบปี สาระก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิมได้อีกด้วย ซึ่งงานนี้ก็ต้องขอชื่นชมน้องๆนักศึกษาที่ใส่ใจในด้านโปรดักชั่นทั้งการหา โลเคชั่นให้ใกล้เคียงฉากในนิยายที่สุดแล้วหลายตอนยังมีการวางเฟรมภาพได้สวยงามมีมาตรฐานเกินหนังนักศึกษาทั่วไปอีกด้วย
พ้นจากข้อดีแล้ว บาดแผลเดียวของ ซีรีส์ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน คงหนีไม่พ้นการคุมโทนเรื่องราวแต่ละตอน รวมถึงคุณภาพงานถ่ายทำที่บางตอนอาจมีมาตรฐานต่ำกว่าตอนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการแสดง เข้าใจว่าน้องๆ น่าจะไม่ได้ใช้นักแสดงมืออาชีพ ซึ่งก็ถือเป็นความท้าทายทั่วไปสำหรับการทำหนังในรั้วมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว รวมถึงการตีความเรื่องราวที่อาจยังไม่ได้ศึกษารายละเอียดทางประวัติศาสตร์ดีพอ จึงทำให้เกิดอาการหลุดทั้งการกำกับการแสดงเมื่อตัวละครต้องพูดเรื่องราวทางการเมืองและพร็อพบางส่วนที่อาจหลุดยุคสมัยไปบ้าง
ในภาพรวมแล้วคงต้องบอกว่า ซีรีส์ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน ถือเป็นงานทะเยอทะยานที่สุดงานหนึ่งที่ไม่เพียงสำหรับนักศึกษาเท่านั้น ลำพังบริษัททั่วไปยังไม่สามารถคลอดโปรเจคต์นี้ได้เสียที ทั้งทีนิยายวางจำหน่ายมากว่า 20 ปีแล้ว การที่นักศึกษากลุ่มนี้เลือกท้าทายตัวเองด้วยการหยิบนิยายซีไรต์เล่าเรื่องการเมืองในแบบหนังดราม่าผจญภัย และผลักดันงานโปรดักชันของตัวเองให้ท้าทายไปอีกระดับก็นับว่าน่าชื่นชมและน่าจับตามองมากเลยทีเดียว