Our score
8.9The Mandalorian
จุดเด่น
- เลิกลิเกอวกาศ มาลองเป็นรสคาวบอยอวกาศแล้วแซ่บอย่าบอกใครเลย
- แต่ละตอนมีเสน่ห์และฉากจำของตัวเอง ดีมากแทบทุกตอน
- โปรดักชัน ดีไซน์ การถ่ายภาพ CGI เลิศ
- เบบี้โยดา กับ IG-11 เด็ดดวงมาก
จุดสังเกต
- มีตอน 5-6 ที่ส่งผลกับโครงเรื่องน้อยไปหน่อย เหมือนหนังสั้นสปินออฟมากไปนิด
- วิธีรับชมในไทยตอนนี้ยากนิด มาเปิดบริการในไทยยยย เร็ว ๆ หน่อยยยย
-
ความสมบูรณ์ของบท
8.5
-
คุณภาพงานสร้าง
9.5
-
คุณภาพนักแสดง
7.5
-
ความสนุกน่าติดตาม
9.5
-
คุ้มเวลาในการรับชม
9.5
เรื่องย่อ ผ่านไป 5 ปีหลังจากจักรวรรดิ์ล่มสลายด้วยฝีมือของกองทัพกบฏที่นำโดย ลุก กับ เลอา สกายวอล์กเกอร์ ร่วมกับเหล่าพลพรรคยานฟอลคอนอย่าง ฮานโซโล และ ชิวเบกก้า ซึ่งผลของสงครามในหนัง Return of the Jedi ก็ส่งผลเนื่องมายังซีรีส์ The Mandalorian นี้เต็ม ๆ เมื่อจักรวาลได้รับการปกป้องโดยสาธารณรัฐใหม่ และเหล่าจักรวรรดิ์เดิมที่สูญเสียผู้นำทั้ง พัลพาทีน กับ ดาร์ธเวเดอร์ ต่างแตกกระจายซ่องสุมกำลังใหม่ ภายหลังได้เรียกตัวเองว่ากลุ่มปฐมภาคี โดยไม่มีใครรู้ว่ากลุ่มนี้วางแผนการอย่างใดไว้
มาที่เรื่องราวในซีรีส์นี้กัน ณ ดาวเนวาร์โรอันห่างไกลเป็นที่ตั้งของสมาคมนักล่าค่าหัว เราจะได้เข้าไปสัมผัสวงการนักล่าผ่านสายตาของ แมนโด ผู้ถูกชนเผ่าแมนดาโลเรี่ยนรับเลี้ยง ซึ่งยังเป็นชนเผ่าที่ว่ากันว่าคือนักรบที่เก่งที่สุดในจักรวาลและจะไม่ถอดหน้ากากเหล็กให้ผู้ใดเห็นใบหน้าตลอดชีวิต ในตอนนี้ชาวเผ่านี้ต่างรวบรวมทรัพย์เพื่อกอบกู้ชนเผ่าของตนจากการทำลายล้างในอดีต แมนโด เองก็เช่นกันเขาต้องทำงานรับจ้างมากมายเพื่อหาเงินมาใช้เลี้ยงชีพและนำไปช่วยเหลือชนเผ่าของเขา เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มเมื่อแมนโดรับภารกิจนอกระบบจาก กรีฟ คาร์กา นายหน้าของสมาคมที่อ้างว่าผู้จ้างให้ผลตอบแทนสูงมาก และภารกิจนั้นก็กลายเป็นชะตาใหม่ของเขาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว
เป็นหนึ่งในออริจินัลซีรีส์เปิดตัวของบริการสตรีมมิงเจ้าใหม่อย่าง Disney+ ซึ่งเอามายั่วแฟนสตาร์วอร์สโดยเฉพาะ แม้ตอนนี้ในไทยและอีกหลายโซนของโลกจะยังไม่เปิดให้บริการ ทว่าด้วยความน่าสนใจของซีรีส์ที่กวาดคำชมและคะแนนเป็นกอบเป็นกำจากฝั่งเมืองนอก (IMDb 8.9/10 และ Rotten Tomatoes 94%) เราจะไม่พูดถึงก็คงไม่ได้จริง ๆ โดยใครสนใจจะดูตอนนี้ถ้าไม่อยู่ใน 5 ประเทศที่เปิดให้บริการแล้ว ก็เหลือแค่วิธีผ่าน vpn เพื่อไปสมัครรับชมนั่นเอง (และแน่นอนไม่มีซับไทย พากย์ไทยนะจ๊ะ)
สำหรับซีรีส์นี้มีความยาวในซีซันแรกจำนวน 8 ตอนด้วยกัน ทั้งนี้ตอนหนึ่ง ๆ ก็จะมีความยาวราว ๆ 30-45 นาทีโดยประมาณ ก็ถือว่ายาวไม่มากไม่น้อยนักสำหรับซีรีส์บนสตรีมมิง ทั้งนี้ได้รับการดูแลการผลิตจากผู้กำกับใหญ่คนโปรดของดิสนีย์คนหนึ่งอย่าง จอห์น แฟฟโรว์ จากหนัง Iron Man และ The Jungle Book มารับหน้าที่สำคัญในฐานะครีเอเตอร์ของซีรีส์ โดยได้เข็นผู้กำกับใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมาร่วมงานกำกับคนละตอน สองตอน กันเพียบ ไม่ว่าจะ เดฟ ฟิโลนี ผู้กำกับแอนิเมชันซีรีส์น้ำดี Star Wars: Rebels กับ Star Wars: The Clone Wars ต่อมาคือ ริก ฟามุยิวะ ผู้กำกับผิวสีที่ดังจากหนังอินดี้เรื่อง Dope ทั้งเวทีประกวดหนังซันแดนซ์ และเมืองคานส์ เดโบราห์ โชว์ ผู้กำกับซีรีส์หญิงฝีมือโชกโชนที่ผ่านมาแล้วทั้ง American Gods, The Man in the High Castle, Better Call Saul หรือจะ Lost in Space ทางเน็ตฟลิกซ์ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด นี่ก็เซอร์ไพรส์จัดเลย เพราะเธอคือนักแสดงสาวสุดสวยที่ผันตัวมากำกับหนังด้วย ใครนึกไม่ออกเธอคือ แคลร์ นางเอกคนสวยจากหนัง Jurassic World นั่นเอง และซีรีส์จะปิดท้ายด้วยผู้กำกับคนดังที่แอบมาเล่นเป็นตัวละครดรอยด์สังหาร IG-11 ด้วยอย่าง ไทกา ไวทีที จากหนัง Thor: Ragnarok เจ๋งนะเนี่ย
- Chapter 1: The Bounty —– Dave Filoni
- Chapter 2: The Child —– Rick Famuyiwa
- Chapter 3: The Sin —– Deborah Chow
- Chapter 4: Sanctuary —– Bryce Dallas Howard
- Chapter 5: The Gunslinger —– Dave Filoni
- Chapter 6: The Prisoner —– Rick Famuyiwa
- Chapter 7: The Reckoning —– Deborah Chow
- Chapter 8: Redemption —– Taika Waititi
ในภาพรวมต้องบอกว่าซีรีส์ในซีซันแรกอาจไม่ได้พ่วงตัวเองเข้าไปอย่างมีนัยยะสำคัญกับไทม์ไลน์หลักของแฟรนไชส์สตาร์วอร์ส เพียงจับช่วงเวลาหลังการล่มสลายของจักรวรรดิ์ในหนังภาค 6 มาเป็นฉากดำเนินเรื่อง เพื่อเติมเต็มว่าช่วงเวลาเว้นโหว่กว่า 30 ปี หลังหนังภาค 6 จนถึงก่อนที่จะเกิดการปะทุใหม่ของกองทัพปฐมภาคีของซิธลอร์ดนาม สโน้ก ในหนังภาค 7 นั้น เหล่าทหารจักรวรรดิ์แอบดำเนินการอะไรกันอยู่ โดยทั้งนี้ได้เลือกที่จะแนะนำเหล่าตัวละครกลุ่มใหม่มาเป็นตัวแทนผู้ชมด้วย ซึ่งก็น่าสนใจทีเดียวเพราะส่วนตัวก็คิดว่าสตาร์วอร์สควรออกนอกกรอบสกายวอล์กเกอร์ซาก้าบ้างเสียที แบบใน Rogue One (2016) นั่นก็ช่วยเพิ่มพื้นที่ให้เรื่องเล่าใหม่ ๆ ให้แฟรนไชส์ได้ดีเลย
ส่วนในครั้งเราจะได้รู้จักเผ่าแมนดาโลเรียนที่ว่ากันว่าเป็นนักรบที่เก่งที่สุดในจักรวาล ซึ่งถือปฏิบัติแนวทางแห่งนักรบอย่างเคร่งครัดเช่นการต้องสวมหน้ากากไม่ให้ผู้ใดได้เห็นใบหน้าอีก รวมถึงการพกอาวุธกับเกราะเป็นส่วนหนึ่งเป็นวัตรปฏิบัติ และเท่าที่เราทราบคือหลังจากยุคจักรวรรดิ์พวกเขาถูกกวาดล้างครั้งใหญ่โดยจักรวรรดิ์ หลายคนเลือกที่จะหลบซ่อนตัวจากโลกภายนอกรอวันกอบกู้เกียรติของเผ่าพันธุ์คืนมา และการติดตามเรื่องราวไปหลายหมู่ดาวก็ทำให้เราได้เห็นหลากหลายวัฒนธรรมและหลากหลายเผ่าพันธุ์ของโลกต่างดาว อันเป็นเสน่ห์ของหนังสตาร์วอร์สในยุคแรก ๆ มีอย่างท่วมท้น และดึงบรรยากาศเดิม ๆ แบบที่แฟนบอยคิดถึงกลับมาได้อย่างดี
นี่จึงไม่ใช่หนังการเมืองอวกาศแบบที่ จอร์จ ลูคัส พยายามทำในไตรภาคแรก (หนังภาค 1-3) แต่เป็นจิตวิญญาณแห่งหนังผจญภัยในไตรภาคที่ 2 (หนังภาค 4-6) แทน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่สร้างฐานแฟนของแฟรนไชส์ขึ้นมาอย่างแท้จริง
การเล่าเรื่องผ่านสายตาของแมนดาโลเรียนนามว่า แมนโด ยิ่งน่าสนใจ เพราะเขาไม่ใช่แมนดาโลเรียนแต่กำเนิดหากแต่เป็นเด็กกำพร้าจากสงครามที่ถูกเก็บมาเลี้ยง การที่เขาเห็นดรอยด์ไล่ฆ่าพ่อแม่ของเขาทำให้เขาไม่เคยไว้ใจดรอยด์อีกเลย ไม่ว่าจะงานใด ๆ เขาจะเลือกให้มนุษย์ทำทั้งสิ้นไม่ว่าจะซ่อมยานหรือทำอาหาร แมนโด ยังเป็นนักล่าค่าหัวที่เก่งที่สุดของสมาคมนักล่าค่าหัวบนดาวเนวาร์โรด้วย การยืนตรงกลางระหว่าง สิ่งมีชีวิต-เครื่องจักร, จักวรรดิ์-กบฏ, ลืมอดีต-ลืมปัจจุบัน, นักล่า-เหยื่อ จึงเป็นมิติของตัวละครที่ทำให้ซีรีส์มีอะไรให้ผู้สร้างหยอดใส่นู่นนี่นั่นได้สนุกมือ ไม่ได้เพียงแค่เรื่องราวของนักฆ่าผู้สันโดษที่จับพลัดจับผลูต้องมาดูแลเด็กน้อย แบบหนังมือปืนที่คลีเช่ตามกระบวนหนัง Léon: The Professional (1994) หรือแนวพ่อกระเตงลูกไปรบใน ซามูไรพ่อลูกอ่อน เท่านั้น
นั่นจึงทำให้ในตอนที่ 5 (The Gunslinger) และ 6 (The Prisoner) เป็นการเต้าคอนเซ็ปต์ของตัวแมนโดมากกว่าเดินโครงเรื่องหลัก จะเรียกว่าเป็นหนังสั้น 2 ตอนที่แยกต่างหากจากซีรีส์เลยก็ว่าได้ แต่ช่วยสะท้อนคลี่ตัวละครแมนโดออกมาให้เห็นแง่มุมเด่นชัดขึ้นนั่นเอง ตรงนี้ก็ต้องบอกว่าเป็นทั้งจุดดีและด้อยของตอนนี้เลย จุดดีคือเหมือนได้อาหารจานรองมาเสิร์ฟตัดรสเลี่ยนจากโครงเรื่องหลัก ทั้งสไตล์การเล่าที่ตอนหนึ่งก็แบบหนังคาวบอยตะวันตก ส่วนอีกตอนก็หนังสยองขวัญมาเลย มองแยกคือเด่นและดีในทางตัวเองทั้งสองตอน แต่ข้อเสียคือมันส่งผลต่อโครงหลักน้อยมาก มากจนไม่ดูก็ไม่กระทบความเข้าใจในตอนต่อไปสักเท่าไหร่นัก
ส่วนในฐานโครงเรื่องหลักต้องชมเลยว่า ตอนที่ 1 เป็นการเปิดตัวที่น่าติดตามชมมากได้เห็นคาแรกเตอร์ตัวละครชัดและเร็ว เดินเรื่องว่องไวแบบที่ซีรีส์ยุคใหม่ควรเป็น แถมยังสร้างตัวละครดรอยด์ที่น่าจดจำตัวใหม่อย่าง IG-11 ขึ้นมาสำเร็จ ซึ่งดรอยด์ยุคหลัง ๆ ในสตาร์วอร์สนอกจากความน่ารักแล้วเสน่ห์ให้จดจำอย่างอื่นก็เบาบางมาก ต่างจากเจ้า IG-11 นี่ล่ะที่เปิดและดำเนินเรื่องราวของตัวเองได้โคตรเท่เลย ขอบอก (อันดับดรอยด์ในดวงใจนี้แซงขึ้นไปเทียบแก๊งหลักแล้ว) ใครดูถึงตอน 8 แล้วยากมากที่จะไม่ชอบเจ้าตัวนี้
ส่วนตอนที่ 2-4 ก็ดึงบรรยากาศการผจญภัยสำรวจดาวที่เรายังไม่รู้จักได้สนุกมาก (ให้ตอน 2 สนุกกว่านิดหนึ่งในฐานะหนังผจญภัย แต่ตอน 3 กับ 4 คงได้ใจแฟนสตาร์วอร์สมากกว่า) ทั้งยังเป็นการเพิ่มตัวละครใหม่ ๆ เข้ามาเสริมทัพเรื่องราวไม่ว่าจะ อดีตทหารต่อต้านจักรวรรดิ์นาม คาร่า ดูน หรืออดีตทาสผู้ไถ่ตนสำเร็จนาม ควิล ที่ต่างมีเอกลักษณ์และภูมิหลังน่าสนใจ และที่สำคัญเลย 2 ตอนนี้เปิดตัว เบบี้โยดา หรือที่ผู้สร้างฝั่งดิสนีย์พยายามให้เรียกว่า เดอะไชลด์ เนี่ย ได้ประสบความสำเร็จสุด ๆ อันนี้ยอมใจการรังสรรค์ของทีมสร้างซีรีส์จริง ๆ ดีไซน์ลงตัวทั้งความน้อนน และความตำนาน คือแฟนใหม่ก็รัก แฟนดั้งเดิมก็ชม อันนี้ต้องชื่นชมทีมงานที่ดูแลคาแรกเตอร์ที่ไม่ใช่มนุษย์ว่า แม้น แมนโด อาจเป็นพระเอก แต่ดาวเด่นของซีรีส์นี้ตัวจริงน่าจะต้องบอกว่าคือ เบบี้โยดา กับ IG-11 นี่ล่ะเสียมากกว่า เป็นซีรีส์ที่ดีไซน์ตัวละครดีมาก ทั้งคนทั้งไม่ใช่คน โคตรชอบ
สำหรับตอนส่งท้ายอย่างตอน 7-8 ที่ปิดซีซันแรกนี้ก็เป็นการเปิดปมใหญ่ของเรื่องเพื่อเตรียมสานต่อในซีซันถัดไปอย่างมีอิมแพกต์ ทั้งบอสตัวร้ายนาม มอฟ กีเดียน (รับบทโดย จิอันคาร์โล เอสโปสิโต หรือพ่อค้ายาร้านไก่ทอดจากซีรีส์ Breaking Bad) ที่เราจะได้เห็นความเหี้ยม ความฉลาด การไม่ต่อรอง และยังคุมกองทัพสตรอมทรูเปอร์หลากหลายแบบ และมีอาวุธหลากหลายสไตล์ด้วย นอกจากนี้เราจะได้รู้บทสรุปของตัวละครบางตัวที่จะสิ้นสุดเรื่องราวลงและไม่น่าจะมีบทต่อในซีซันถัดไป ซึ่งมีทั้งอารมณ์ซึ้ง เศร้า และตื่นเต้น น่าประทับใจ รวมถึงเรายังจะเห็นภาพคร่าว ๆ ของซีซันหน้าด้วยว่าจะเป็นเรื่องราวการออกเดินทางตามหาอดีตแบบมีเป้าหมายเสียทีของคู่ตัวเอกอย่าง แมนโด และเบบี้โยดา ที่ยังจะต้องเผชิญการไล่ล่าของกลุ่มทหารอดีตจักรวรรดิ์ด้วย น่าติดตามมาก ๆ
คือซีรีส์นี้เราจะได้เห็นอะไรใหม่ ๆ เยอะมาก มาถึงตรงนี้ก็ต้องบอกล่ะครับว่า แฟนสตาร์วอร์สไม่ควรพลาด ส่วนคนไม่เคยดูสตาร์วอร์สเลย ซีรีส์เรื่องนี้ไม่สูงเกินเอื้อม ไม่ต้องศึกษาเรื่องอื่น ๆ เข้มข้นก็ดูรู้เรื่องแถมสนุกมากด้วยล่ะ
ส่วนที่ขอชมส่งท้ายก็ยังมีเรื่องของโปรดักชั่นที่พิถีพิถันทั้งฉาก ชุด อุปกรณ์ และ CGI ตลอดจนคอนเซ็ปต์อาร์ตในช่วงท้ายเครดิตที่งามคม สมบูรณ์สมราคาซีรีส์ตัวเปิดของ Disney+ จริง ๆ เนี้ยบเหมือนทำหนังฉายโรงเลยก็ว่าได้ ถึงฉากสเกลไม่ได้ใหญ่ยักษ์ แต่เป็นการเลือกตัดส่วนเล็ก ๆ มาปั้นแบบเน้น ๆ ได้โคตรดี เติมเต็มความรู้สึกแบบสตาร์วอร์สได้เต็มกว่าหนังใหญ่บางภาคเสียอีก นอกจากนี้ก็ต้องชมไปยัง เปโดร ปาสคาล (หรือเจ้าชาย มาร์เทล จากซีรีส์ Game of Thrones) ที่แม้จะต้องสวมหมวกเล่นเป็นแมนโดตลอดซีซัน แต่ก็สามารถถ่ายทอดความรู้สึกทะลุหมวกออกมาให้เราอินกับตัวละครได้ด้วย การที่เราไม่ได้เห็นหน้าแมนโดตลอดซีซันนี่ก็เป็นความร้ายกาจของคนสร้างเหมือนกันนะ ถึงจะรู้ว่าใครแสดงแต่ก็อดอยากเห็นไม่ได้ นี่ก็รอดูทุกตอนเลยว่าซีรีสืนี้จะให้เราได้เห็นหน้าพี่เปโดรบ้างมั้ยเนี่ย ซึ่งจังหวะการเผยนี่ก็ฉลาดจริง ๆ กวนผสมมีเสน่ห์มาก ต้องรอดูเลย
ส่วนข้อเสีย ก็ตามที่บอก มีบางตอนที่ไม่เชื่อมโยงเลย มองในแง่เอกภาพของซีซันหนึ่ง ๆ ก็มีหลุดล่ะ และที่หลุดและดรอปเลยก็มีอย่างตอนที่ 5 ที่สนุกน้อยไปนิด เหมือนไปเน้นสไตล์นัวร์คาวบอยแทน ในขณะที่ตอนที่ 6 นี่หลุดคอนเซ็ปต์ไปยิ่งกว่าตอน 5 อีก แต่ด้วยความกล้าทดลองการเล่าแบบแนวนัวร์ระทึกขวัญกลางคุกอวกาศ มันเลยดูสนุกและแก้รสเลี่ยนจากตอนปกติได้พอสมควร
สุดท้ายนี้ก็ขอสรุปว่า นี่เป็นซีรีส์เรือธงของฝั่ง Disney+ ที่สมศักดิ์ศรี น่าประทับใจและน่าจดจำมาก ๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนสตาร์วอร์สหรือไม่ก็ตาม นี่รอดูซีซัน 2 ที่จะมาในปี 2020 ไม่ไหวแล้วเนี่ย แล้วพี่ช่วยเอาเข้ามาให้บริการในไทยไว ๆ หน่อยเหอะ อยากดูอิ่มแบบเต็ม ๆ บ้างแล้วว
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส