Our score
9.0Lost in Space Season 2
จุดเด่น
- เรื่องราวในซีซัน 2 น่าติดตามมากขึ้น
- มีฉากผจญภัยน่าตื่นเต้นมากขึ้น
- สานต่อปมตัวละครได้น่าสนใจ
จุดสังเกต
-
ตรรกะ ความสมเหตุสมผลของบท
9.0
-
ความสมบูรณ์ของงานสร้าง
9.0
-
คุณภาพนักแสดง
9.0
-
ความสนุกน่าติดตามในแต่ละตอน
9.0
-
ความคุ้มค่าเวลา น่าติดตามชม
9.0
หลังครอบครัวโรบินสันระหกระเหินไปใช้ชีวิตยังดวงดาวที่มีแต่น้ำและอากาศเป็นพิษ พวกเขาจำต้องร่วมแรงร่วมใจกันเพือนำยานจูปิเตอร์ของพวกเขากลับเข้าสู่เรตโซลูต ยานขนส่งมนุษย์ไปยัง อัลฟ่าเซนธอร์ อาณานิคมในอวกาศให้ได้ โดยนอกจากภาระอย่าง ด็อกเตอร์สมิธ (พาร์คเกอร์ โพซีย์) มิจฉาชีพสาวจอมหักหลังที่พวกเขาต้องคุมตัวแลัวเหล่าสมาชิกในครอบครัวโรบินสันแต่ละคนก็ต้องก้าวข้ามปมในใจของตนไปให้ได้ทั้ง จอห์น (โทบี สตีเฟนส์) พ่อผู้เป็นที่พึ่งพาของทุกคนจนต้องเอาชีวิตรอดจากอันตรายต่าง ๆ นานาให้ได้, มัวรีน (มอลลี พาร์กเกอร์) กับความลับที่เธอเคยแลกให้วิลได้ขึ้นมาบนเรตโซลูตที่กลับมาหลอกหลอนเธออีกครั้ง, จูดี้ (เทย์เลอร์ รัสเซลล์) ลูกสาวคนโตที่ศรัทธากำลังถูกทดสอบอีกครั้งหลังค้นพบความลับของมัวรีน, เพนนี (มีนา ซันด์วอลล์) ที่ต้องก้าวข้ามความรู้สึกว่าตัวเองเป็นสมาชิกไร้ประโยชน์ของบ้านโรบินสันให้ได้ และวิล (แมกซ์เวลล์ เจนกินส์) กับสายสัมพันธ์กับหุ่นยนต์ที่เขาต้องออกตามหาเพื่อนรักไปจนสุดขอบจักรวาล
หลังสร้างกระแสความสนุกจนกลายเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ฮิตทาง Netflix จนได้มีซีซัน 2 ในวันนี้ สิ่งที่โดดเด่นมากสำหรับ Lost in Space คือการเป็นซีรีส์ไซไฟที่มีเนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์ที่เข้มข้นกว่าหนังและซีรีส์เรื่องอื่นแต่อยู่ในโครงเรื่องแบบซีรีส์ผจญภัยดูสนุกควบคู่กับประเด็นดราม่าครอบครัวได้กลมกล่อมมากทีเดียว โดยหลังจากซีซันแรกที่ได้ปูให้เรารู้จักคาแรกเตอร์ของแต่ละคนในบ้านโรบินสันรวมถึง ดร.สมิธ ที่คราวนี้ถูกปรับให้มาเป็นผู้หญิงพร้อมเพิ่มความซับซ้อนและอุปนิสัยไม่น่าไว้ใจ แน่นอนว่ามาถึงซีซันนี้ึคนดูย่อมคาดหวังจะได้เห็นการผจญภัยที่น่าตื่นตามากขึ้น ซึ่งซีรีส์ก็จัดให้แบบเต็มคราบกันไปเลย
เปิดมาตอนแรกครอบครัวโรบินสันก็เจอมหันตภัยของดาวเคราะห์ใหม่ที่พวกเขาต้องเผชิญทั้งมรสุมพิษ อากาศมรณะหนักข้อไปจนถึงต้องแปลงยานอวกาศให้กลายเป็นเรือใบแบบมิชชันอิมพอสซิเบิลเสียอีก และถ้ายังไม่รู้สึกว่ามันผจญภัยหรือน่าตื่นตาพอก็ขอบอกว่าแต่ละตอนไม่รู้ครอบครัวโรบินสันไปทำกรรมอะไรไว้ทั้ง หุ่นยนต์พิฆาต น้ำเปื้อนเคมีที่กัดกร่อนจนยานเรสโซลูตแทบพัง อีกทั้งยังต้องไปเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดน้อง ๆ ทีเร็กซ์อีก เรียกได้ว่าผู้สร้างนี่แทบไม่ให้คนดูมีช่วงเบื่อเลยสักนิด จน 10 ตอนอาจจะจบลงแบบไม่รู้ตัวเลยทีเดียว ด้านนักแสดงก็ดูมีเสน่ห์มากขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว โดยหนุ่ม ๆ ก็น่าจะถูกใจกับสาวสวยทั้ง จูดี้ และ เพนนี หรือ สาว ๆ ก็น่าจะแบ่งทีมตาม แดดดี้ อย่าง จอห์น หรือ สายรักเด็กอย่าง วิล ที่คราวนี้นุ้ง แม็กซ์เวลล์ เจนกินส์ ก็เริ่มโตเป็นหนุ่มหล่อแล้วจนน่าจะอดดูไปกรี๊ดไปไม่ได้เลยทีเดียว
ว่ากันถึงพัฒนาการตัวละคร สิ่งที่ต้องชื่นชมเลยคือการสานต่อประเด็นหลาย ๆ อย่างที่ปูไว้จากซีซันก่อน ทั้งปมครอบครัวแตกแยกที่คราวนี้ มัวรีน และ จอห์น ต้องปรับความเข้าใจกันและเชื่อใจกันให้มากกว่าครั้งไหน ๆ และต่อให้ มัวรีน จะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งเพียงใดแต่ในมุมมองคนเป็นแม่ ซีรีส์กลับให้ภาพที่ดูเป็นมนุษย์มาก ๆ เช่นตอนที่เธอต้องรับมือกับอาการน้อยอกน้อยใจของเพนนีที่มักไม่ค่อยได้รับความไว้วางใจจากครอบครัว หรือต้องตอบคำถามด้านจริยธรรมจากจูดีที่ส่งผลต่อบทสรุปของซีซันนี้ เรากลับเห็นมัวรีนเป็นทุกข์เป็นกังวลและไม่อาจคำนวนคำตอบของการเป็นแม่ที่ดีได้ด้วยสูตรทางคณิตศาสตร์ใด ๆ ได้เลย ส่วน จูดี้ คราวนี้ก็ได้โอกาสมีบทบาทกับเรื่องราวมากขึ้น โดยเฉพาะตอนที่เธอต้องไปช่วยเหลือจอห์นให้ทันก่อนพิษบาดแผลจะพรากพ่ออีกคนของเธอไปตลอดกาล เราจะเห็นการแสดงของ เทย์เลอร์ รัสเซลล์ ที่โดดเด่นมาก ๆ ยิ่งผสานกับเรื่องราวในแฟลชแบ็กที่ย้อนให้เห็นว่า จอห์น และ จูดี้ ผูกพันกันแค่ไหนก็ยิ่งทำให้เราอดลุ้นตามไม่ได้ แต่ที่ต้องชื่นชมทีมเขียนบทมาก ๆ คือการเอาเรื่องราวของพ่อแท้ ๆ ของจูดี้มาสานต่อในซีซันนี้ได้อย่างน่าสนใจ (แต่เราขอไม่เล่านะ เดี๋ยวสปอยล์ อิอิ)
โดยรวมแล้ว Lost in Space ในซีซันที่ 2 นี้ก็ช่วยให้เรื่องราวของครอบครัวโรบินสันน่าสนใจและชวนติดตามอย่างต่อเนื่อง ด้วยเรื่องราวที่เข้มข้นแบบแทบไม่มีช่วงชวนลำไย และคาแรกเตอร์ที่คราวนี้เราเริ่มจะรักตัวละครแต่ละตัวมากขึ้นก็ทำให้มันเหมาะมากที่จะเป็นซีรีส์มันส์ ๆ ดูในช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปีแบบนี้ได้ดีทีเดียว
อยากดู Lost in Space ทาง Netflix คลิกได้เลยที่นี่
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส