Our score
8.0Locke & Key ปริศนาลับตระกูลล็อค
จุดเด่น
- ตัวละครน่าสนใจ โดยเฉพาะตัวร้าย
- โพรดักชันดี แม้ดีไซน์จะยังไม่ดีเท่าในกราฟิกโนเวล แต่ถือว่าดัดแปลงมาได้ดี
- ตั้งแต่ตอนที่ 7 ไปจนจบ สนุกมาก
- พลังกุญแจมีหลากหลายน่าสนใจ
จุดสังเกต
- ปูเรื่องช้า กว่าจะน่าติดตามจริง ๆ ก็ปาไปตอนที่ 7
- ยังไม่ถึงขนาดทำให้อยากดูรวดเดียวจบ
-
ความสมบูรณ์ของบท
7.0
-
คุณภาพนักแสดง
8.5
-
คุณภาพการผลิต
9.0
-
ความสนุกน่าติดตาม
8.0
-
ความคุ้มค่าในการรับชม
7.5
เรื่องย่อ ซีรีส์เรื่องนี้สร้างจากนิยายภาพขายดีและติดตามพี่น้อง 3 คนที่ย้ายเข้าบ้านเก่าของตระกูลหลังจากที่พ่อถูกฆาตกรรม แล้วได้พบว่าบ้านนี้มีกุญแจวิเศษที่ไขไปสู่พลังวิเศษมากมาย
อีกหนึ่งซีรีส์ที่เน็ตฟลิกซ์หมายมั่นปั้นมือให้เป็นออริจินัลที่ฮิตติดตลาด ทั้งด้วยเป็นโพรเจกต์ที่ได้ คาร์ลตัน คิวส์ โพรดิวเซอร์เจ้าของรางวัลเอมมีอวอร์ดส์จากซีรีส์ Lost และ เมเรดิธ เอเวริล โพรดิวเซอร์ซีรีส์ดังอย่าง The Haunting of Hill House มาเป็นครีเอเตอร์ร่วมกันเพื่อดัดแปลงกราฟิกโนเวลชื่อดังที่มีแฟนอยากให้สร้างฉบับคนแสดงมาหลายปี โดยตอนเปิดตัวของซีรีส์ยังได้ผู้แต่งในฉบับกราฟิกโนเวลอย่าง โจ ฮิล ลูกชายคนดังของ สตีเฟน คิง มาเขียนบทให้ และยังได้ ไมเคิล มอร์ริส ผู้กำกับซีรีส์ดังอย่าง Better Call Saul และ 13 Reasons Why มากำกับให้ด้วย ความน่าสนใจอีกอย่างคือ 2 ตอนสุดท้ายของซีรีส์ยังได้ วินเซนโซ นาตาลี ผู้กำกับแคนาดาคนดังจากหนัง Cube (1997) และเคยร่วมงานกับโจ ฮิลมาแล้วในการทำหนังเน็ตฟลิกซ์อย่าง In the Tall Grass (2019) มากำกับซีรีส์ให้ด้วย
ความพยายามครั้งนี้มีความเสี่ยง เพราะแรงกดดันจากความคาดหวังจากแฟนกราฟิกโนเวลก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือ Locke & Key เคยมีความพยายามดัดแปลงขึ้นจอมาแล้วทั้งจอเงินและจอแก้วแต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลย ถ้านับไปอย่างน้อยก็ 3 ครั้งแล้วตั้งแต่ปี 2010 โดยค่ายฟ็อกซ์ และต่อมาก็เป็นโพรเจกต์หนังของยูนิเวอร์แซล ก่อนที่สุดท้ายจะมีการทำตัวไพลอตซีรีส์ไปเสนอที่สตรีมมิงเจ้าดังอย่าง ฮูลู และถูกปฏิเสธมา จนมาเข้ามือคู่แข่งอย่างเน็ตฟลิกซ์ที่อนุมัติให้สร้างนี่เอง เรียกว่าตัวซีรีส์แอบมีความยากในการดัดแปลงจนค่ายใหญ่ถอยมาแล้วหลายครั้ง อย่างน้อยเราก็เห็นว่าตัวเนื้อหาน่าจะมีรายละเอียดมากจนเหมาะกับการเป็นซีรีส์มากกว่าหนัง และนี่น่าจะมาถูกทางอยู่พอประมาณ
ปัญหาของซีรีส์ขนาดยาวโดยเฉพาะซีรีส์ในเน็ตฟลิกซ์คือ มักมีประเด็นน่าสนใจในหน้าหนังแต่ก็มักจะเข้าประเด็นสำคัญหรือทำให้รู้สึกสนุกได้ช้า ผู้ชมต้องอาศัยความอดทนในช่วงหลายตอนแรกอยู่พักใหญ่กว่าจะเริ่มลุ้นกับพลอตจริง ๆ ของซีรีส์นั้น และสำหรับ Locke & Key เองก็เช่นกัน แม้ในตอนแรกซีรีส์จะเปิดตัวอย่างน่าสนใจทั้งประเด็นดาร์ก ๆ ว่าแม่และลูกในครอบครัวล็อคต้องย้ายมาบ้านของตระกูลฝั่งพ่อ หลังจากที่สูญเสียหัวหน้าครอบครัวที่มีอาชีพครูต้องจากไปในเหตุโศกนาฏกรรมที่เด็กนักเรียนเพี้ยนตามมายิงที่บ้าน ซึ่งจั่วหัวมาก็ถือว่าดาร์กพอควรกลับหนังแนวแฟนตาซีที่เด็กดำเนินเรื่อง โดยใน 3 พี่น้องล็อคที่เป็นตัวนำ ตัวน้องชายคนเล็กที่ได้ยินเสียงกระซิบของกุญแจวิเศษคนแรกอย่าง โบดี้ (แสดงโดย แจ็กสัน โรเบิร์ต สก็อตต์ หรือ จอร์จี้ จากหนัง IT) ก็อายุเพียง 6 ขวบเองด้วย
นอกจากนี้ตัวขับเคลื่อนเรื่องสำคัญอย่างพลังของกุญแจวิเศษแต่ละดอกก็ไม่ได้แฟนซีหวานแหววเลย เช่นดอกแรกที่เป็นกุญแจกระจกที่จะหลอกล่อคนเข้าไปติดห้องวงกตในมิติกระจกจนตาย หรือดอกที่เป็นพระเอกอย่างกุญแจหัวที่จะไขเข้าไปสู่โลกในสมองของคนที่มีเงื่อนไขการนำเข้า-การเอาออกสิ่งของในโลกนั้นแล้วกระทบกับสมองของตัวคนได้ อย่างที่พี่สาวคนรองอย่าง คินซี่ (เอมิเลีย โจนส์ จากหนัง High-Rise) เลือกจะเอาความกลัวของตนเองออกมาจากหัวจนทำให้เธอเปลี่ยนจากเด็กที่เจ้าระเบียบและขี้กังวลกลายเป็นคนกล้าและขาดการยั้งคิดไป ก็ดูจะไฮคอนเซ็ปต์พอสมควร มองในแง่นี้ซีรีส์จึงไม่ได้ประนีประนอมกับคนดูและมุ่งไปที่กลุ่มผู้ชมเด็กโตจนถึงวัยหนุ่มสาวขึ้นไปเสียมากกว่า โดยยังไม่ต้องพูดถึงประเด็นการสู้รบกับปีศาจในร่างมนุษย์เช่นเด็กเพี้ยนนาม แซม ที่ปัญหาครอบครัวนำมาสู่การถูกปั่นหัวง่ายและกลายเป็นฆาตกรในที่สุด หรือกระทั่งปีศาจตัวจริงอย่าง ดอดจ์ (เลย์สลา ดี โอลิเวียรา จาก In the Tall Grass) หญิงในบ่อน้ำที่โบดี้ไปเจอ ผู้ที่ใช้ทั้งพลังรอบรู้ในเรื่องกุญแจ ความเจ้าเล่ห์และความเหี้ยมอำมหิตฆ่าคน (แม้แต่เด็กเล็ก) เป็นว่าเล่น ก็เสริมภาพรวมของซีรีส์ให้เป็นแนวดาร์กน้อง ๆ Stranger Things อยู่พอสมควร (แต่ก็ยังห่างไกลความโหดด้านภาพจากหนัง IT ในประเภทหนังเดียวกัน)
เอาว่ากันจริง ๆ ซีรีส์ใช้เวลาปูพื้นความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครในเมืองกับครอบครัวล็อคอยู่พอควร โดยระหว่างนั้นก็พัฒนาพลอตเรื่องของการตามหากุญแจวิเศษเพื่อต่อกรปีศาจร้ายไปด้วย และจะเริ่มดึงคนดูหนัก ๆ จริง ๆ ก็ปาไปตอนที่ 7 ไปแล้ว ตั้งแต่ว่าตัวร้ายอย่าง แซม และ ดอดจ์ ได้กลับมาแท็กทีมกันสมบูรณ์นั่นเอง ตรงนี้ก็ตอกย้ำอีกครั้งว่าซีรีส์ไม่สามารถเอาอยู่ด้วยการขับดันด้วยซับพลอตเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร เช่น ปัญหารักสามเส้าของคินซีย์ หรือปัญหาการอยากเป็นที่ยอมรับในสังคมโรงเรียนใหม่ของ ไทเลอร์ พี่ชายคนโต แม่ที่ต้องสู้กับอาการติดสุราและความอยากปกป้องลูก ๆ โดยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะผู้ใหญ่จะจดจำเรื่องเวทมนตร์ไม่ได้ และโบดี้น้องคนเล็กที่ต้องเผชิญปีศาจใกล้ชิดที่สุด ก็อาการหนักจากช่วงกลางของซีรีส์ที่บทของเขาหายไปพักใหญ่ ๆ เลย
ส่วนเรื่องพลังของกุญแจเองก็มีทั้งที่น่าสนใจ ถูกใช้เป็นตัวเอกอย่างกุญแจหัวที่เข้าไปดูความคิดคน กุญแจไปไหนก็ได้ และกุญแจพลังเพลิง และก็มีบางดอกที่ไม่รู้ว่าเอาไว้ทำอะไรกันแน่นอกจากขับเรื่องให้เคลื่อนไปเฉย ๆ อย่างกุญแจที่ไขต้นไม้เรืองแสงที่เก็บขวดโหลความทรงจำ ส่วนกุญแจบางอันก็พลังเว่อวังเช่นกุญแจกล่องเสียงเพลงที่สั่งให้ใครทำตามก็ได้ ซึ่งส่วนที่น่าเสียดายของซับพลอตส่วนนี้คือมันถูกใช้ประโยชน์จริง ๆ น้อยมากในเรื่อง และหลายดอกก็ดูเป็นช่องโหว่ให้กับเนื้อหาด้วย เช่นว่า ทำไมไม่เอากุญแจกล่องเพลงหรือกุญแจกระจกมาสู้กับตัวร้าย อะไรแบบนั้น
สรุป ยอมรับว่าซีรีส์กลับดูสนุกเพราะเหล่าตัวร้ายที่มีความเก่งฉลาดและคาดเดายากว่าจะทำอะไรเสียมากกว่า และเมื่อคนดูเริ่มต่อติดซีรีส์ก็ดูสนุกขึ้นมาก แม้จะไม่ชวนลุ้นชวนให้อยากดูแบบรวดเดียวจบก็ตามแต่ก็เป็นอีกซีรีส์ที่มีเอกลักษณ์และเสน่ห์ในแบบตัวเองที่แตกต่างจากซีรีส์แนวแฟนซีเรื่องอื่น ๆ และเมื่อพิจารณาว่าตัวซีรีส์สามารถพัฒนาต่อไปได้อีกหลายซีซัน จากกุญแจวิเศษอีกหลายดอกที่ยังอยู่ในบ้าน (ตอนนี้ออกมาประมาณ 11 ดอก) ปริศนาใหญ่อย่างประตูสีดำในถ้ำติดทะเลคืออะไรกันแน่ และปีศาจที่เหลือรอดอยู่นั้นจะก่อการใด ๆ ขึ้นอีกโดยที่เหล่าตัวเอกยังไม่รู้ตัว ก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอตัว เพราะล้วนเป็นจุดแข็งที่น่าติดตามของซีรีส์เองทั้งสิ้น วัดภาพรวมเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่น่าติดตามต่อไป โดยเฉพาะใครที่ดูถึงตอนสุดท้ายน่าจะรอดูซีซันต่อแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่ซีรีส์ที่ติดหนึบขนาดต้องกวาดรอบเดียวจบซีซันอย่างบางเรื่องเท่านั้นเอง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส