Our score
6.8Bloodride เส้นทางเลือดโชก
จุดเด่น
- เรื่องสั้น ตอนละไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดูง่าย จบในตอน
- งานจากนอร์เวย์เพียว ๆ ที่นาน ๆ จะได้ดูแนวสยองบ้าง
- บางตอนไอเดียดีน่าสนใจ
จุดสังเกต
- มีความคล้ายเรื่องอื่น ๆ ก่อนหน้าในแนวเดียวกัน
- บางตอนเดาง่ายไป
- โพรดักชันกลาง ๆ ไม่ได้ดูดีมาก
-
ความสมบูรณ์ของบท
7.0
-
คุณภาพนักแสดง
6.5
-
คุณภาพโปรดักชั่น การผลิต ความแปลกใหม่
6.5
-
ความสนุกน่าติดตาม
7.0
-
คุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.0
เรื่องย่อ บนรถบัสลึกลับคันหนึ่งที่วิ่งฝ่าความมืดมีผู้โดยสาร 6 กลุ่มกระจายกันนั่งอยู่ทั้งคัน บ้างก็เป็นครอบครัว บ้างมาคนเดียว บ้างก็เป็นกลุ่มเพื่อนร่วมงาน และทุกครั้งที่สัญญาณสีแดงตรงคนขับรถสว่างขึ้น เราจะเข้าไปดูชีวิตแสนพิศวงของผู้โดยสารแต่ละกลุ่มกัน บ้างสยองขวัญ บ้างสั่นประสาท และบ้างก็ไม่อาจคาดเดา
ซีรีส์สยองขวัญประเภทจบในตอนจำนวน 6 ตอนที่ถูกนำมาร้อยเรียงผ่านเที่ยวโดยสารรถบัสมรณะที่ดูลึกลับเป็นปริศนา ก็เป็นงานซีรีส์ประเภทสยองขวัญที่ดูไม่ยากมากและเป็นที่นิยมในหลาย ๆ ชาติ เพราะจบในตอนและที่สำคัญมักนำเสนอพลอตที่แปลกประหลาดน่าติดตาม อย่างเช่นงานสยองคลาสสิกอย่าง Tales from the Crypt งานไซไฟสยองแบบ Black Mirror หรืออย่างในไทยก็มีอย่าง ยายกะลา ตากะลี เป็นต้น สำหรับซีรีส์ชุด Bloodride ก็เป็นคราววิสัยทัศน์ของทีมงานจากนอร์เวย์ที่ทำมาอวดสายตาชาวโลกผ่านทางเน็ตฟลิกซ์บ้าง
ในจำนวน 6 ตอน มีเรื่องที่น่าสนใจอย่างเช่น ตอนที่ 3 Bad Writer ว่าด้วยสาวมือสมัครเล่นที่เข้าเรียนคอร์สเขียนนิยายจากนักเขียนคนดัง ก่อนเธอจะพบความจริงว่าเธอกำลังถูกใครบางคนเขียนชีวิตเธออย่างจงใจ และเธอเองก็เขียนชีวิตผู้อื่นให้เป็นตามนิยายที่แต่งได้ สุดท้ายใครคือเจ้าของเรื่องราวนี้และคุมชีวิตของทุกตัวละครไว้กันแน่ต้องติดตามชม อีกตอนที่แนะนำคือ ตอนที่ 4 Lab Rats ว่าด้วยบริษัทยาใหญ่ที่ค้นพบสูตรยาใหม่พร้อมจะทำการผลิตขาย คืนนั้นประธานบริษัทเชิญพนักงานคนสำคัญรวมถึงภรรยาของเขามาร่วมฉลอง ทว่าหลอดยาต้นแบบกลับหายไปและนำมาสู่การไล่หาคนร้ายแบบที่ไม่มีใครไว้ใจใครได้เลย ทั้ง 2 ตอนนี้แม้จะมีกลิ่นอายของงานอื่นอยู่บ้างแต่ฉากจบหมัดไม้ตายของเรื่องยังพอมีความรุนแรงกระแทกใจเราได้บ้าง
ในขณะที่ตอนอื่น ๆ ก็มีน่าสนใจอย่าง ตอนที่ 1 Ultimate Sacrifice เกี่ยวกับก้อนหินไวกิ้งที่หากเอาสัตว์เลี้ยงแสนรักมาบูชายัญมันจะมอบโชคดีแก่คนผู้นั้นได้ ยิ่งเรารักมากก็ยิ่งให้โชคมาก หรือตอนที่ 6 The Elephant in the Room เกี่ยวกับการกลั่นแกล้งกันในที่ทำงานอันนำมาสู่ค่ำคืนปาร์ตี้ของบริษัทที่จะเจิ่งนองไปด้วยเลือด ส่วนอีก 2 ตอนที่เหลืออย่าง Three Sick Brothers และ The Old School ก็อาจจะธรรมดาไปหน่อยเมื่อเทียบกับงานที่มีออกมาก่อนในแนวใกล้กัน แต่ก็พอดูเอาหักมุมได้แม้จะไม่ได้ประทับใจอะไรนักก็ตาม
ว่าด้วยงานสร้างต้องยอมรับว่าทีมงานสร้างทั้งครีเอเตอร์ คนเขียนบท ผู้กำกับ ตลอดจนนักแสดง ก็เป็นชาวนอร์เวย์แบบที่ดูชื่อเราก็ไม่รู้จักผลงานก่อนหน้ามาก่อนเลย เป็นโอกาสดีอีกครั้งที่ได้ดูงานนอร์เวย์เพียว ๆ แบบนี้ โปรดักชันก็มีความก้ำกึ่งระหว่างงานหนังกับงานละคร แต่ให้ความรู้สึกหนักไปทางละครโทรทัศน์มากกว่า ทั้งมุมกล้อง เทคนิคการถ่ายทำ การแสดง และวิธีการเล่าเรื่อง มีฉากจำที่ติดตาจริง ๆ ไม่มากนัก บางตอนทำได้ดีแต่บางตอนก็ดูดรอปลงไปเยอะทั้งที่มีผู้กำกับสับเปลี่ยนกันแค่ 2 คน ยิ่งฉากหักมุมที่เป็นจุดพิฆาตในหนังแนวนี้ก็ต้องบอกว่ายังไม่สุดเท่าไหร่ เหมือนน่าจะทำให้สะดุดใจมากกว่านี้ได้ ติดตามากกว่านี้ได้ แต่ก็ไปไม่ถึงอย่างน่าเสียดาย และอีกอย่างที่คาดหวังว่าน่าจะมีคำอธิบายมากขึ้นคือฉากในรถบัสที่เป็นอินโทรของทุกเรื่อง หวังเอาไว้ว่าพอถึงตอนสุดท้ายน่าจะมีเฉลยว่ารถบัสนี้คืออะไร แต่สุดท้ายก็จบไปแบบนั้นเลย
โดยรวมก็ต้องบอกว่าเป็นงานจากทีมงานนอร์เวย์ที่ยังไม่ค่อยคุ้นชื่อในเวทีนานาชาตินัก ตัวซีรีส์มีแก่นกลางว่าด้วยความสยองความตายและการหักมุม อันเป็นสูตรเรื่องสั้นสมัยใหม่ที่เข้าถึงคนดูได้ง่าย หลาย ๆ ตอนมีส่วนผสมของหนังหรืองานเขียนในแนวเดียวกันหลาย ๆ เรื่องมาผสมกลมกล่อมให้เป็นเนื้อใหม่ แม้จะชวนให้นึกถึงเรื่องนั้นนี้อยู่บ้าง แต่ก็มีรายละเอียดที่ทำให้มีเอกลักษณ์ของตัวเอง แต่ทั้งนี้เมื่อมองในฐานะคนที่ชื่นชอบหนังหรือเรื่องเล่าแนวสยองหักมุมแล้ว ก็ยังไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นแปลกใจตรึงใจมากนัก เป็นความเพลิดเพลินแบบดูสนุกในตอนนั้น ๆ แล้วจบไป ไม่ได้คิดจะเอามาเล่าถกกับเพื่อนหรือแนะนำใครเป็นพิเศษ ถ้าเบื่อ ๆ ต้องกักตัว 14 วัน ดูได้จบในตอนไม่ค้างคา เสียเวลาไม่นานต่อตอนประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมงแล้วให้ความบันเทิงได้พอสมควร ก็แนะนำเลยครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส