เรื่องย่อ รายการ แดนสนธยา เป็นรายการไซไฟที่แฝงประเด็นทางสังคมแบบเข้มข้น ผสานเรื่องราวประหลาดและตอนจบที่ยากคาดเดา โดยเฉพาะความสยองที่แฝงมาในบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจราวไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้ โดยครั้งนี้เป็นการกลับมาอีกครั้งหลังจากห่างหายไปจากหน้าจอทีวีกว่า 58 ปี
The Twilight Zone หรือ แดนสนธยา เป็นอีกรายการแนวไซไฟที่นำเสนอผ่านรูปแบบหนังสั้นความยาวไม่เกินชั่วโมงในแต่ละตอน และสำหรับคอซีรีส์โทรทัศน์รุ่นเก่า ๆ หน่อยน่าจะเป็นชื่อที่คุ้นหูคุ้นตาดีเพราะในไทยก็เคยนำมาฉายทางโทรทัศน์เมื่อหลายสิบปีก่อน และที่อเมริกามันก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงปี 1959-1964 เอกลักษณ์สำคัญนอกจากว่าเนื้อหาจะเป็นแนวไซไฟและเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่มักสะท้อนประเด็นทางสังคมบางอย่างที่ชวนขบคิดแล้ว ยังต้องพูดถึงผู้บรรยายที่จะเป็นผู้นำเข้าเนื้อหาและสรุปเรื่องราวในแต่ละตอน ซึ่งในฉบับเก่านั้นจะมี ร็อด เซอร์ลิง ที่เป็นครีเอเตอร์ของซีรีส์รับบทผู้บรรยาย ที่ต่อมาก็กลายเป็นภาพจำของซีรีส์นี้ไปโดยปริยาย
และสำหรับแดนสนธยาในปี 2019 นี้ ก็ได้รับการคืนชีพโดยช่อง CBS ของอเมริกาและลงสตรีมมิงผ่านทาง HBO GO ซึ่งตอนนี้ก็ให้บริการในบ้านเราเป็นที่เรียบร้อย ต้องยอมรับว่าบริบทการแข่งขันของซีรีส์แนวนี้ในปัจจุบันนั้นไม่ได้ง่ายนักสำหรับแดนสนธยา เพราะตอนนี้มีซีรีส์ดัง ๆ ในแนวนี้ที่ครองตลาดแทนแล้วอย่าง Black Mirror ของอังกฤษซึ่งก็ได้รับคำชมและความนิยมมากด้วยกับการเล่นประเด็นโลกออนไลน์ต่าง ๆได้อย่างเฉียบคม ฝั่งของแดนสนธยาจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีครีเอเตอร์ที่สามารถสร้างกระแสความสนใจได้ และการได้ จอร์แดน พีล ผู้กำกับที่มาแรงจากหนังสยองอย่าง Get Out และ Us มาเป็นหนึ่งในครีเอเตอร์และเป็นผู้บรรยายคนใหม่ก็ทำให้ตัวซีรีส์นี้น่าสนใจขึ้นมากทีเดียว เพราะงานสไตล์พีลนั้นเข้ากันกับความเป็นแดนสนธยามากทีเดียว
สำหรับซีซันแรกในฉบับของ จอร์แดน พีล นี้ ประกอบด้วยเรื่องสั้นจำนวน 10 ตอน โดยความน่าสนใจมากก็ตรงในหลาย ๆ ตอนสามารถดึงดาราเบอร์ใหญ่ ๆ สำหรับจอทีวีมาเล่นได้ อย่าง คูเมล นานจิเอนี (ในตอน The Comedian) จอห์น โช และเจ้าหนู เจคอบ เทรมบลี (ในตอน The Wunderkind) สตีเวน ยอน (ในตอน A Traveler) อดัม สก็อตต์ (ในตอน Nightmare at 30,000 Feet) เบ็ตตี กาเบรล, ซาซี บีตซ์ และ เซ็ธ โรแกน (ในตอน Blurryman) เรียกว่ามีบิ๊กเนมมาช่วยกระตุ้นความน่าสนใจมากขึ้น นอกจากปริศนาความพิศวงของเรื่องราวด้วย
และที่น่าชื่นชมคือหลาย ๆ ตอนมีโพรดักชันคุณภาพสูงเทียบเท่าหนังโรงเลยทีเดียว โดยเฉพาะซีเนมาโตกราฟีหรือการถ่ายภาพที่ได้อารมณ์แบบหนังโรงเลยทีเดียว แต่ก็ต้องยอมรับว่ามากกว่าครึ่งของทั้งหมดนั้นหลายตอนเรียกว่าธรรมดา หลายตอนก็ออกจะต่ำกว่ามาตรฐาน และเหมือนกับทางซีรีส์ก็ไล่ระดับตอนที่ดี ๆ เอามาก่อนเลย คือถ้าเปรียบกราฟความน่าสนใจของแต่ละตอนก็ลดลงมาเป็นลำดับ ยิ่งมาถึงตอนสุดท้ายคือคะแนนความสนุกก็แทบจะหมดแล้วทีเดียว ถ้าคุณมีเวลาจำกัดก็แนะนำเลยว่าสำหรับซีซันแรกนี้ ตอนที่ควรดูคือ ตอน 1-5 นั่นเอง และแถมตอนสุดท้ายอีกนิดที่สร้างมาเพื่อคารวะซีรีส์ชุดดั้งเดิมโดยเฉพาะแถมมีกิมมิกที่วางแผนมาตั้งแต่แรกมาบอมบ์คนดูในตอนสุดท้ายด้วย
สำหรับตอนที่แนะนำ ใครทดลองดูฟรี 7 วันสนใจดูซีรีส์นี้ก็ลองเน้น ๆ ที่ตอนเหล่านี้เลย
ตอนที่ 1 The Comedian นักเดี่ยวไมโครโฟนหนุ่มในไนต์คลับคนหนึ่ง (คูเมล นานจิเอนี) กำลังประสบปัญหาว่ามุกซีเรียส ๆ เกี่ยวกับสิทธิและรัฐธรรมนูญของเขาไม่ได้รับความนิยมนัก แต่แล้วในคืนหนึ่งเขาก็ได้พบนักแสดงตลกระดับตำนานที่ให้คำแนะนำเขาว่าจงเล่าเรื่องของตนเองและคนรอบตัวดีกว่า และเมื่อเขาลองเล่าถึงคนใกล้ตัวดูก็ปรากฏว่าคนขำกับเรื่องนั้นมาก ๆ แต่ทุกครั้งที่เขาปิดมุกด้วยการพูดชื่อของคนนั้น ๆ ก็เหมือนตัวตนของคน ๆ นั้นจะถูกลบหายไปจากโลกทันทีราวกับไม่เคยมีคนนั้นมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้ระหว่างความสำเร็จความโด่งดังกับความรู้สึกที่เขาได้ฆ่าคนทั้งคนหายไปจากโลกโดยไม่มีใครรู้ตัว ตาชั่งแห่งศีลธรรมของเขาจะพาเขาไปสิ้นสุดที่ใดกันนั้นต้องติดตาม
ตอนที่ 2 Nightmare at 30,000 Feet นักข่าวสายสืบสวนคนดัง (อดัม สก็อตต์) กำลังนั่งเครื่องบินและพบกับเทปบันทึกรายการพ็อดแคสต์เกี่ยวกับอุบัติเหตุทางการบินปริศนาในอดีต แต่น่าแปลกตรงที่รายละเอียดในรายการพ็อดแคสต์นี้มันคือเที่ยวบินที่เขากำลังนั่งอยู่นี่เอง เขาต้องสวมบทนักสืบที่อาศัยเนื้อหาในรายการปริศนาดังกล่าวเพื่อหยุดยั้งอุบัติเหตุใหญ่ครั้งนี้แม้จะถูกตราหน้าว่าเป็นตัวแสบที่ป่วนทุกคนบนเครื่องอยู่ก็ตาม
ตอนที่ 5 The Wunderkind ดาวรุ่งแห่งวงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งหนุ่ม (จอห์น โช) พบกับช่วงตกต่ำหลังคนที่เขาสนับสนุนแพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดี ระหว่างที่จมทุกข์อยู่ในบาร์เขาก็เจ้าหนูคนหนึ่ง (เจคอบ เทรมบลี) ที่ดังขึ้นมาในโลกโซเชียลจากการให้ความเห็นทางการเมืองแบบซื่อ ๆ ทำให้คนที่เบื่อนักการเมืองเก่า ๆ ต่างออกมาพูดว่าถ้าเจ้าหนูนี่ลงสมัครเลือกตั้งพวกเขาจะเลือกแน่ ๆ และนั่นก็จุดไฟแห่งนักรณรงค์ของเขาที่จะดันเจ้าหนูไม่กี่ขวบคนหนึ่งขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และแน่นอนสำหรับแดนสนธยานี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่น่าสยดสยองมากกว่า
และสำหรับคนที่อินกับซีรีส์นี้ในอดีตก็คงต้องแนะนำตอนที่ 10 Blurryman ที่เหมือนเป็นการคารวะรายการนี้ในอดีต เมื่อนักเขียนบทสาวของรายการแดนสนธยา (ซาซี บีตซ์) พบกับความพร่าเลือนระหว่างเรื่องแต่งและเรื่องจริงเมื่อตัวเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของบทในรายการ ขณะที่อยู่ในสตูดิโอถ่ายทำตอนสุดท้ายของซีซันแรก และพบว่ามีเงาของชายลึกลับปรากฏอยู่ในซีรีส์ทุกตอนที่ผ่านมา (จริง ๆ ก็ขาดอยู่ 1 ตอนคือตอน Six Degrees of Freedom ที่ไม่มีเงาปริศนา) โดยที่ทีมงานคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครรู้ว่าเงาชายปริศนาคนนั้นคือใคร และแล้วเสียงบรรยายรายการที่เป็นเสียงเธอเองก็แนะนำให้เธอลองเผชิญหน้ากับเงานั้นตรง ๆ ก่อนจะได้พบความจริงของแดนสนธยา
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส