มีซีรีส์เกาหลีหลายเรื่องที่ทำออกมาเป็นแนวการแพทย์ และโด่งดังจนแฟนซีรีส์ติดหนึบ เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นำเสนอเรื่องราวทางการแพทย์ ที่มาออกอากาศได้ถูกช่วงถูกเวลาพอดีแถมยังแตกต่างจากซีรีส์แนวการแพทย์เรื่องอื่น ๆ กับเรื่องราวที่แทบจะเป็นเรียลลิตี้แบบหมอ ๆ ผลงานของ ชินวอนโฮ ผู้กำกับซีรีส์ตระกูล reply และ ซีรีส์ดาร์กคอมเมดี้ นักโทษในเรือนจำ prison playbook ที่โดนใจคอซีรีส์กันมาแล้ว
The Hospital Playlist เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของแพทย์ทั้ง 5 คน ในโรงพยาบาลยุลเจ ที่จบมาจากมหาวิทยาลัยด้านการแพทย์ที่เดียวกันในปี 1999 พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันมา 20 ปี และใช้ทุกเวลานาทีในการอุทิศตนเพื่อคนไข้ในโรงพยาบาลจนพัฒนาความสามารถทางการรักษาจนขึ้นมาถึงระดับอาจารย์หมอ ซีรีส์จะสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ในแต่ละวัน รวมถึงชีวิตของผู้ป่วยในโรงพยาบาล ที่จะบอกกับเราว่า
24 ชั่วโมงของหมอ มีค่าเท่ากับหลายชีวิต
ด้วยการสะท้อนเรื่องราวที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงทุก ๆ วันในโรงพยาบาล ไม่ซับซ้อน ไม่มีปมดราม่ามากมาย ออกจะเป็นซีรีส์อารมณ์ดี เป็นคอมเมดี้การแพทย์ที่หลายครั้งก็ทำให้เสียน้ำตาเอาง่าย ๆ โดยจะเน้นหนักไปที่ชีวิตและการทำงานของ
- อินจุก (โจจองซอก) ศาสตราจารย์นายแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดทางเดินน้ำดีและตับอ่อน เป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกชายน่ารัก 1 คน อัธยาศัยดี ขี้เล่น ชอบเที่ยวไนท์คลับแต่ยังสอบได้ที่ 1
- จองวอน (ยูยอนซอก) ศาสตราจารย์นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านกุมารศัลยศาสตร์ เป็นคุณหมอที่จิตใจอ่อนไหว ปิดทองหลังพระ นับถือคริสต์แต่ได้รับฉายาว่า “พระพุทธเจ้า”
- จุนวาน (จางกยองโฮ) ศาสตราจารย์นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมทรวงอก เป็นคุณหมอขวานผ่าซาก มือผ่าตัดระดับเทพ ละเอียด หัวไว
- ซอกฮยอง (คอมแดมยอง) ศาสตราจารย์นายแพทย์เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ชอบเก็บตัวจนหลายคนบอกว่าเขาปิดกั้นสังคม แต่กลับมีความเข้าอกเข้าใจหัวอกของคนไข้เป็นอย่างดี และ แพทย์หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่ม
- แชซงฮวา (ชอนมีโด) ศาสตราจารย์แพทย์หญิงเชี่ยวชาญด้านประสาทศัลยศาสตร์ ใจเย็น เด็ดเดี่ยวและเป็นแพทย์ศัลยประสาทที่เก่งหาตัวจับยาก
พล็อตเรื่องง่าย ๆ แต่น่าติดตามอย่างไม่รู้เบื่อ
ต้องปรบมือให้กับคนเขียนบทรัว ๆ ที่จับพล็อตเรื่องง่าย ๆ มาเล่นได้อย่างน่าติดตาม ด้วยการขยายพล็อตสั้น ๆ แตกประเด็นออกไปมากมายจนมองเผิน ๆ คล้ายเรียลลิตี้ ตามติดชีวิตหมอ แต่เป็นการตามติดที่น่าสนใจในทุกช็อตของการนำเสนอ โดยการเผยให้เห็นเรื่องราวของหมอในมุมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตส่วนตัว ที่หมอก็คือปุถุชนธรรมดาที่ยังต้องการความสุข ความบันเทิง มีอารมณ์เศร้าเหงาทุกข์เหมือน ๆ กับคนในสาขาอาชีพอื่น ๆ แต่แตกต่างที่การทำงานของหมอ หลายครั้งความสบายดีของคนไข้มักจะมาก่อนความสุขส่วนตัวของหมออยู่เสมอ อย่างที่เราเห็นกันได้ชัด ๆ ในโลกของความเป็นจริงจากสถานการณ์ covid-19 ซีรีส์เรื่องนี้จึงอยู่ในขั้น “กินใจ” จนสามารถนำเราเข้าไปสัมผัสกับความรู้สึก “เต็มตื้น” ได้ง่าย ๆ จากการเสนอแง่มุมที่แปลกออกไปจากซีรีส์การแพทย์เรื่องอื่น ๆ เป็นแง่มุมที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง ในชีวิตจริง ๆ ของบุคลากรในโรงพยาบาลทุกคน
บทมีการตัดสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ตั้งแต่ทั้ง 5 คนยังเป็นนักเรียนแพทย์ ความตั้งใจในการมาเป็นหมอ การมีชีวิตส่วนตัวที่แสนธรรมดาและสื่อให้เห็นว่า ทั้ง 5 คนมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้ยังไง อะไรทำให้พวกเขาเข้ากันดีจนเป็นเพื่อนรักที่กลมเกลียวได้ขนาดนี้ และหน้าที่ของอาจารย์หมอในปัจจุบัน ที่ต้องคอยส่งต่อความรู้ ชี้แนะแนวทางและเป็นตัวอย่างที่ดีให้นักเรียนแพทย์รุ่นต่อไป รวมไปถึงการขาดแคลนบุคลากร จึงเกิดเป็นศึกชิงน้องเอ็กซ์เทิร์นที่ใช้อาวุธเป็นอุดมการณ์และความฝัน ที่ต้องบอกว่าเป็นการเดินเรื่องที่กลมกลืน ตัวละครเยอะเรื่องราวก็แยะตามไปด้วยแต่ไม่ได้ทำให้สับสน ในทางกลับกันกลายเป็นน่าสนใจและน่าติดตามไปซะอีก
ส่งพลังถึงคนดูอย่างมีชีวิต
การสื่อสารของซีรีส์เรื่องนี้ต้องเรียกว่า เป็นการสื่อสารอย่างมีชีวิตได้จริง ๆ พยายามหาคำจำกัดความกับความรู้สึกนี้อยู่สักพักเลยละค่ะ แต่ก็ได้คำที่เหมาะสมอยู่คำเดียวคือคำว่า “มันคือชีวิต” ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่ซีรีส์ที่ ตื่นเต้นลุ้นระทึกกับการช่วยชีวิตเหมือนเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้มีการผ่าตัดเคสหนัก ๆ ให้ต้องเครียดและเป็นดราม่าบีบจิต หรือ มีการแก่งแย่งชิงดีในตำแหน่งหน้าที่การงาน มีกลโกงหรือซ่อมปมอะไรให้ค้นหาหรือขบคิด แต่มันคือซีรีส์ชีวิตของหมอที่เปรียบเสมือนช่างซ่อม ที่มีลมหายใจของคนไข้และความรู้สึกของญาติ ๆ เป็นเดิมพัน ซีรีส์เลือกที่จะสื่อสารผ่านความรู้สึกต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละเคสของหมอ 5 คน โดยใช้บทพูด อารมณ์ของนักแสดงและมุมกล้องเป็นสัญลักษณ์สื่อความรู้สึก บางเคสเราเสียน้ำตา แต่บางเคสก็ทำให้เราดีใจไปกับเขาด้วย ทั้ง ๆ ที่เรื่องราวที่นำเสนอเป็นเรื่องที่เราอาจ รู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังทำให้เรารู้สึกทึ่งและเหนื่อยแทนในอาชีพของหมอได้อยู่ดี
มีการกระจายความสำคัญอย่างเท่าเทียมชนิดที่ว่าเราจะหาพระเอก-นางเอกจากเรื่องนี้แทบไม่เจอ ทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด มีเรื่องราวของตัวเองให้น่าติดตาม ดราม่าบ้าง ยิ้ม หัวเราะบ้าง เหมือนกับชีวิตของหมอแต่ละแผนกที่มีความสำคัญและเรื่องราวในชีวิตแตกต่างกันไป ตัวบทมีความเรียลที่ดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ในแต่ละบทแต่ละฉากสามารถทำให้คนดูกลายเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวต่าง ๆ ได้หน้าตาเฉย แม้กระทั่งความป่วยไข้ของแต่ละเคส ความเสียสละของผู้บริจาคอวัยวะและความรู้สึกของผู้ได้รับบริจาค ที่เจอซีนนี้เข้าไปมันคือความซาบซึ้งอย่างอธิบายไม่ถูก แล้วไม่ใช่จะมีแต่เรื่องราวของนักแสดงนำ 5 คนนี้เท่านั้นนะ ละครยังกระจายความสำคัญไปที่นักแสดงสมทบ เพิ่มเนื้อหาให้น่าสนใจมากขึ้นไปอีกในแบบเรียล ๆ เรียบ ๆ นี่แหละ แต่สามารถเรียกความสุข ความขบขันจนไม่มีทางที่เราจะไม่หัวเราะไปกับพวกเขา
กับแง่มุมความรักหลายรูปแบบ
ในเมื่อซีรีส์เรื่องนี้คือซีรีส์ทางการแพทย์ ก็แน่นอนว่าเราจะได้เห็นความรักในอาชีพมาเป็นอันดับ 1 เราจะได้เห็นการใส่ใจในอาชีพของตัวเองอย่างเอาหัวใจทุ่มลงไปทั้งใจ ไม่รักทำไม่ได้หรอกค่ะอาชีพนี้ เอาจริง ๆ หมอแก๊งนี้เขามีงานอดิเรกที่แต่ละคนชอบแตกต่างกันไปและทั้ง 5 คน ยังฟอร์มวงดนตรีเพื่อเล่นด้วยกันเองมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ไม่เคยมีใครได้ใช้เวลาส่วนตัวอย่างเต็มที่ได้นานเลยสักคนเดียว หรือ แม้กระทั่งขณะที่กำลังซ้อมดนตรีกันอยู่ สมาชิกของวงก็อาจจะขาดไปสักคนสองคนได้ในทันที หากมีเคสฉุกเฉินหรือเคสที่กำลังรับผิดชอบมีปัญหา
สีสันในด้านความรักอื่น ๆ ที่ซีรีส์สอดแทรกเข้ามาก็คือความรักต่อเพื่อนร่วมก๊วน ที่เนื้อหาต่าง ๆ ในซีรีส์จะบอกเราได้ว่าทั้ง 5 คนคือเพื่อนแท้ที่มีหัวใจเดียวกันและให้ความสำคัญกับมิตรภาพของคำว่าเพื่อนมาก่อนสิ่งอื่น รวมไปถึงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ที่ทุกตัวละครในโรงพยาบาลให้ความใส่ใจต่อความรู้สึกของคนไข้เป็นสำคัญ บอกแบบนี้ไม่ใช่ว่าบทจะไปในทางพินอบพิเทากับคนไข้นะคะ แต่บทอิงความเป็นจริงที่หมอ พยาบาล สามารถพูดกับคนไข้ได้หรือไม่ได้ “เราพยายามอย่างเต็มที่” นี่คือสิ่งที่หมอพูดได้และสมควรที่สุด มีความเป็นเหตุเป็นผล มีที่มาที่ไปจนทำให้เชื่อได้ว่า นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีปัญหาของคนไข้ที่น่าปวดหัว บางเคสน่าขัน บางเคสเศร้าจนเราเผลอมีอารมณ์ร่วม
ซีรีส์เรื่องนี้ทางผู้สร้างวางแผนที่จะทำทั้งหมด 3 ซีซันเลยทีเดียว โดยแบ่งเป็นซีซันละ 12 ตอน ซึ่งในตอนนี้ก็ออกอากาศมาได้ 7Ep แล้วละค่ะ กำลังเข้มข้นน่าติดตามเลยทีเดียว สิ่งที่น่าสนใจนอกเหนือไปจากบทที่ฉลาดคิดฉลาดทำแล้วก็คือ ชอนมีโด นักแสดงเวทีหญิงกระโดดมาเล่นซีรีส์เรื่องแรก และเธอทำได้ดีซะด้วยสิ ส่วนหนุ่ม ๆ ที่เหลือไม่ต้องพูดถึงค่ะ การันตีผลงานได้จากซีรีส์เรื่องอื่น ๆ ที่ผ่านมาได้เลยว่าคุ้มที่ได้ดูผลงานของแต่ละคนจริง ๆ และมากไปกว่านั้นคือเพลงประกอบทุกเพลงที่ทั้ง 5 คนเล่นด้วยกันเวลาซ้อมดนตรี สนุกค่ะ ดูเพลิน ๆ แบบยังไม่อยากให้จบ
ติดตามชม The Hospital Playlist ได้ทาง Netflix
- ผลงานกำกับของ : ชินวอนโฮ
- เขียนบท : อีอูจอง
- แนว : การแพทย์ , ดราม่าคอมเมดี้
- จำนวนตอนทั้งหมด : 12 ตอน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส