Release Date
08/05/2020
The Eddy
บิ๊กเนมสำคัญที่ทำให้เกิดซีรีส์อย่าง The Eddy ได้น่าจะหนีไม่พ้นชื่อชั้นของ เดเมียน ชาเซลล์ ผู้กำกับที่เคยสร้างชื่อจาก Whiplash
Our score
7.0The Eddy คลับแจ๊สเมืองฝัน – ซีรีส์แจ๊สอาร์ต ๆ ของ เดเมียน ชาเซลล์
เพลงเพราะ การแสดงดี ยังไม่เพียงพอให้เราติดตามเรื่องราวที่กระจัดกระจายและสับสนได้อย่างราบรื่นนัก
จุดเด่น
- เพลงเพราะ
- การแสดงของอแมนดลา สแตนเบิร์ก คือดี
- ฉากเล่นดนตรีน่าประทับใจ
จุดสังเกต
- พลอตเรื่องเยอะแต่จัดการได้ไม่ดี
- เดินเรื่องช้า ไม่น่าถูกใจทุกคน
-
บท
7.0
-
งานสร้าง
7.0
-
การแสดง
7.0
-
ความบันเทิงตามแนวซีรีส์
7.0
-
ความน่าติดตามของซีรีส์แต่ละตอน
7.0
เอลเลียต (อังเดร ฮอลแลนด์) นักเปียโนแจ๊สที่หนีอดีตขมขื่นจากนิวยอร์กสู่ปารีส หมุดหมายของศิลปินทั่วโลกเพื่อเปิดคลับแจ๊สชื่อ ดิ เอ็ดดี และที่ปารีสนี่เองที่เขาได้มีโอกาสทั้งพบรักกับ มายา (โจแอนนา คูลิก) นักร้องสาวที่รอให้ความชัดเจนในความสัมพันธ์กับเขา และ จูลี่ (อแมนดลา สแตนเบิร์ก) ลูกสาวที่ถูกแม่ส่งตัวมาอยู่กับพ่ออย่างเขา นอกจากต้องประคองกิจการให้อยู่รอดทั้งที่ลูกค้าร่อยหรอลงไปทุกวันแล้ว เอลเลียต ยังต้องเผชิญกับคดีความสำคัญเมื่อ ฟาริด (ทาฮาร์ ราฮิม) หุ้นส่วนและเพื่อนแท้คนสำคัญถูกฆาตกรรม และยังมีมาเฟียมาคอยรังควาน ทำให้เอลเลียตต้องสืบหาความจริงไปควบคู่กับการกอบกู้ศรัทธาวงเพื่อสร้างงานศิลปะในเมืองแห่งฝันอย่างปารีสให้จงได้
บิ๊กเนมสำคัญที่ทำให้เกิดซีรีส์อย่าง The Eddy ได้น่าจะหนีไม่พ้นชื่อชั้นของ เดเมียน ชาเซลล์ ผู้กำกับที่เคยสร้างชื่อจาก Whiplash หนังดรามาสุดเข้มว่าด้วยความสัมพันธ์สุดโหดระหว่างนักเรียนกลองแจ๊สกับครูสุดเหี้ยมเพื่อเค้นความเป็นที่สุดในตัวศิลปินออกมา ก่อนจะมาโด่งดังระดับออสการ์จาก La La Land หนังมิวสิคัลขวัญใจมหาชน และ First Man หนังดรามาเบื้องหลังการเหยียบดวงจันทร์ของ นีล อาร์มสตรอง แน่นอนล่ะว่าหนังของเดเมียน ชาเซลล์ ส่วนใหญ่จะเน้นการศึกษาตัวละคร เจาะให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดและการตัดสินใจที่สุดโต่งเกินมนุษย์มนา ซึ่ง The Eddy ก็ยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่ครบถ้วน
โดยซีรีส์ความยาว 8 ตอนได้แบ่งชื่อตอนและมุมมองการเล่าเรื่องผ่านตัวละครแต่ละตัว ทั้งตัวละครสำคัญและตัวละครสมทบที่แทบไม่มีบทบาทอะไรกับเส้นเรื่องหลัก ซึ่งข้อดีคือมันทำให้เรื่องราวมีความหลากหลายแม้จะดำเนินไปด้วยจังหวะเนิบช้าแต่มันก็แลกมาด้วยฉากมหัศจรรย์อย่างการพาคนดูไปร่วมพิธีศพของมุสลิมในตอน อมิรา ซึ่งเป็นภรรยาของฟาริด แล้วปิดท้ายด้วยพิธีรำลึกในแบบฉบับคนดนตรีแจ๊สที่ทั้งเร้าใจและชวนให้สะเทือนอารมณ์ในคราวเดียวกัน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่เส้นเรื่องหลักอย่างการสืบสวนว่าใครเป็นสาเหตให้ฟาริดต้องตายไม่มีความคืบหน้า
หรือการแบ่งไปเล่ามุมมองของจู๊ด ซิม และ คาตารินา ก็แทบจะทำให้เรื่องราวไม่มีเอกภาพและต้องยอมรับว่าหลายเหตุการณ์เหมือนบทจับยัดเพื่อให้สรุปเรื่องราวได้ลงตัว จนภาพรวมของซีรีส์ดูกระท่อนกระแท่น และด้วยการดำเนินเรื่องแบบต่อนยอน เดี่ยวเล่า เดี๋ยวเล่นดนตรี ก็ทำให้ใครหลายคนอาจอยากเบือนหน้าหนีเสียมากกว่า ถ้าไม่ติดว่าเพลงแจ๊สแต่ละเพลงถ่ายทอดออกมาได้เพราะ และมีสุนทรียะมาก ๆ แล้วเราก็แทบไม่มีเหตุผลอะไรต้องติดตามเรื่องราวจากต้นไปจนจบ ซึ่งสาเหตุหลักน่าจะมาจากการที่บทของซีรีส์ไม่ได้กำหนดทิศทางชัดเจนและความสมดุลของแนวหนังทั้งสืบสวน ทั้งรัก ทั้งครอบครัว และดรามาสะเทือนอารมณ์ ไม่ได้เน้นหนักหรือให้ความสำคัญไปทางใดทางหนึ่งเลยทำให้ตัวซีรีส์ยากมากที่จะสนองตอบความพึงพอใจของคนดูสักกลุ่มหนึ่งไปโดยปริยาย
แต่กระนั้นก็ต้องบอกไว้ว่านอกจากดนตรีแจ๊สในเรื่องที่ไพเราะน่าฟังแล้ว การปรากฎตัวของ อแมนดลา สแตนเบิร์ก ก็น่าจดจำไม่น้อย ( โดยเธอเคยมีผลงานก่อนหน้านี้คือ The Hunger Game ภาคแรกในบท รู สาวน้อยที่แคตนิส เอเวอร์ดีนตั้งใจจะปกป้อง)และใน The Eddy สแตนเบิร์ก ได้พาลุคเซ็กซี่แบบสาวใจแตกพร้อมหน้าหวาน ๆ และคาแรกเตอร์สุดแสบมาเพิ่มรสชาติให้ซีรีส์มากขึ้น และทุกซีนที่ปรากฏตัวคือเธอโดดเด่นมาก ๆ โดยเฉพาะหลังจากเราต้องทนดูหน้าบึ้ง ๆ บูด ๆ เครียด ๆ ของอังเดร ฮอลแลนด์ ในบท เอลเลียต พ่อของเธอแล้ว การคั่นสายตาด้วยซีน ก๋ากั่นของ จูลี่ ก็เป็นอะไรที่ชื่นฉ่ำไม่น้อยเลยทีเดียว
อ่านแล้วอยากดู The Eddy ทาง Netflix คลิกที่นี่เลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส