Release Date
29/05/2020
ครีเอเตอร์
Steve Carell, Greg Daniels
ดารานำ
Steve Carell, John Malkovich
ความยาว
1 ซีซัน 10 ตอน
Our score
9.5Space Force
ใครว่าไงไม่รู้ แต่เรารักซีรีส์นี้มาก
ถึงปะหน้าว่าซีรีส์ตลก แต่ต้องบอกว่าเป็นแนวดราม่าอมยิ้มฟีลกู้ดเสียมากกว่า บทดี ๆ นักแสดงดี ๆ น่าจะเหมาะกับผู้ชมที่ผู้ใหญ่ ๆ หน่อย ถ้าเทียบอารมณ์ก็ประมาณ Green Book กับ The Big Bang Theory ล่ะนะ
จุดเด่น
- ทีมนักแสดงที่ดี การจับคู่เคมีที่ลงตัวอย่างยิ่งระหว่างสตีฟ คาเรลล์ กับ จอห์น มัลโควิช ทั้งยังการสร้างตัวละครที่น่าจดจำเกือบทุกตัวมีมิติความลึกไม่ผิวเผินเหมือนซีรีส์ตลกเอาฮาอย่างเดียว
- บทที่ดีมาก ๆ ไม่ได้ตะบี้ตะบันจะต้องฮาแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่พยายามอิงความเป็นมนุษย์ที่ยึดโยงคนดูได้ ที่สำคัญฉากจะซึ้งก็ซึ้งซะหัวใจอุ่นเลย
- โพรดักชันดีเกินคาด ลงทุนเว่อเกินความเป็นซีรีส์ตลก
จุดสังเกต
- ช่วงหลังของซีรีส์เร่งสปีดมากไปนิด และการตัดจบซีซันที่แหม น่าหยิกซะจริง ๆ กำลังลุ้นเลย อยากดูซีซันหน้าแล้ว
-
คุณภาพโพรดักชัน
9.0
-
คุณภาพนักแสดง
9.5
-
คุณภาพบท
9.5
-
อรรถรสความอิ่มใจ
10.0
-
ความคุ้มค่าในการเสียเวลาชม
9.5
ในวันแสนปลื้มปิติของ มาร์ก แนร์ด ที่ภรรยาและลูกสาวต่างพร้อมหน้าในงานเลื่อนยศขึ้นตำแหน่งนายพลระดับ 4 ดาว และจะได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองทัพอากาศตามที่หวัง หลังจากเคยสร้างวีรกรรมเอาตัวรอดจากเครื่องบินตกในโบลิเวียกว่าสิบวัน เคยขับเครื่องบินรบมาแล้วทุกแบบ และทนทำงานบริหารในฐานะรองผู้บัญชาการภายใต้หัวหน้าห่วย ๆ อย่าง ผบ.ทอ.คิก กราบาสตัน อยู่หลายปี ทว่าในวันเลื่อนตำแหน่งเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
แทนที่จะเป็นเขี่ยคิกตกกระป๋อง กลายเป็นว่าคิกยังคงเป็น ผบ.ทอ. ต่อไป และประธานาธิบดีก็ได้เลือกให้ แนร์ด ไปคุมกองทัพที่เพิ่งตั้งใหม่อย่าง กองทัพอวกาศ (Space Force) ซึ่งต้องย้ายบ้านหอบลูกเมียที่ชีวิตดี๊ดีอยู่แล้วในดี.ซี.ไปอยู่รัฐทะเลทรายอย่างโคโลราโด ที่สำคัญประธานาธิบดียังสั่งโจทย์ยากให้กองทัพอวกาศบุกยึดดวงจันทร์ให้ได้ในปี 2024 ซึ่งในมุมมองฝ่ายปฏิบัติการทุกคนคือ กุมขมับ ฝ่าเท้าก่ายหน้าผากเป็นแถว ตั้งแต่ผู้พันยันพลทหาร
ตัวละครหลักแสนรัก
ซีรีส์นี้นับเป็นการกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งของ สตีฟ คาเรลล์ และ เกรก เดเนียลส์ หลังจากเคยร่วมงานกันในซีรีส์ฮาฮิตอย่าง The Office (2005-2013) มาก่อน โดยครั้งนี้ทั้งคู่กลับมาในฐานะผู้สร้าง (Creator) ของซีรีส์ โดย สตีฟ คาเรลล์ ยังรับบทนำในฐานะนายพล มาร์ก แนร์ด เองด้วย ซึ่งความสำเร็จของซีรีส์สายคอมเมดี้จะเปรี้ยงหรือจะแป้กก็อยู่ที่บทสถานการณ์ยุ่งเหยิงต่าง ๆ และการสร้างตัวละครให้คนดูหลงรักในแบบที่ว่าถึงพวกเขาจะประหลาดแค่ไหน ทำอะไรผิดบ้าง เราก็คงโกรธไม่ลงนั่นเอง
ซึ่งการประกบคู่ระหว่าง 2 รุ่นใหญ่อย่าง สตีฟ คาเรลล์ ในบท นายพลแนร์ดกับ จอห์น มัลโควิช ในบท ดร.เอเดรียน มัลลอรี หัวหน้าวิทยาศาสตร์ของกองทัพ และเป็นมือขวาคนสนิทแบบไม้เบื่อไม้เมากับแนร์ดด้วย ก็เป็นตัวแกนหลักของซีรีส์ที่จะว่าไปก็โคตรงดงามเลย
ในขณะที่มัลลอรีคนนุ่มนิ่มแต่ดื้อหัวแข็ง เป็นพวกสายวิทยาศาสตร์จ๋าเกลียดชังความรุนแรงและความไร้เหตุผลทั้งหลาย แนร์ดก็เป็นขั้วตรงข้ามที่โตมากับสายทหารที่เชื่อแบบฝังลึกว่าปัญหายาก ๆ ทุกอย่างแก้ได้ด้วยการระเบิดอะไรสักอย่าง ความหัวแข็งก็ไม่ได้ย่อหย่อนไปกว่ากัน
แล้วกองทัพอวกาศที่เป็นเรื่องของเทคโนโลยีไปแล้วเกือบ 100% ก็ชวนให้สถานการณ์ประดักประเดิดงอนกันเองระหว่างแนร์ดกับมัลลอรีเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ทว่ามัลลอรีก็เป็นเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตเพียงคนเดียวของแนร์ดโดยที่แนร์ดไม่รู้ตัว และยามที่เผชิญอุปสรรคจากภายนอกพวกเขาก็ผนึกกำลังกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอ และบางฉากก็เล่นเอาเราซึ้ง โบรแมนซ์ฟีลกู้ดสุด ๆ ไปเลย
ทีมเสริมสุดเพี้ยน
นอกจาก 2 ตัวละครนำที่น่ารักน่าชังจนเราเกลียดอะไรในเรื่องไม่ลงแล้ว ซีรีส์ยังเต็มไปด้วยตัวละครที่ชวนอมยิ้มอย่างมีความสุขกับพวกเขาได้ทุกครั้งเกือบทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น แบรด พลอากาศจัตวาที่เป็นเลขาหน้าห้องให้แนร์ดผู้ที่มีอาการแบบคุณปู่เด๋อด๋าไม่ทันการณ์แทบทุกครั้ง โทนี่ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์จอมปลิ้นปล้อน เฉิง นักวิทยาศาสตร์ชาวฮ่องกงมาดเนิร์ดกวนประสาทกับทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติของเขา กัปตันอาลี สาวผิวสีผู้มีความฝันอยากเป็นนักบินอวกาศ ยูริ ทหารแลกเปลี่ยนสุดหล่อชาวรัสเซียที่ทำตัวมีพิรุธตลอดเวลา
และถ้าคิดว่ายังมันไม่พอ ซีรีส์ยังเพิ่มความยากในชีวิตให้แนร์ดด้วยปัญหาส่วนตัวอีก ไม่ว่าจะจากลูกสาววัยรุ่นของเขาอย่าง อีริน ที่เริ่มกลายเป็นเด็กมีปัญหาเพราะขาดแม่และไหนพ่อก็ยุ่งจนไม่ค่อยมีเวลาให้ นอกจากลูกดื้อของอีรินแล้วยังมีเรื่องที่ ยูริ เข้ามาตามจีบอีรินเพราะหวังข้อมูลลับจากแนร์ดอีก
ซีรีส์ยังปล่อยหมัดสุดช็อกให้เราตั้งแต่แรก เมื่อพอตัดมาที่โคโลราโด เม็กกี้ ภรรยาของแนร์ดก็กลายเป็นคนคุกที่ต้องรับโทษกว่า 40 ปีด้วยความผิดที่เราก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ซึ่งการขาดคู่คิดและแม่ของลูกก็เพิ่มงานยากในชีวิตของแนร์ดอีกเท่าตัว ไหนจะเรื่องพ่อกับแม่ที่แก่และหลงลืมของเขาอีก ซึ่งบางครั้งเขายังต้องแอบสั่งให้ดาวเทียมทางทหารช่วยส่องหาแม่ที่เดินหลงเป็นประจำ คือซีรีส์มีวัตถุดิบมัน ๆ พร้อมมูลมาก เหลือแค่โยนสถานการณ์สนุก ๆ ใส่ตัวละครก็บันเทิงได้โขแล้ว
บทสุดเจ๋ง ที่ยิ้มได้ แถมน้ำตารื้นด้วย
เพราะมันไม่ใช่ซีรีส์ที่มุ่งเอาแต่ความฮาแบบไร้เหตุผล แต่มันคือซีรีส์ที่มีเรื่องราวดราม่าในชีวิตจริงของตัวละครเป็นฐาน ทำให้เรายังยึดโยงกับเรื่องได้เสมอ แม้หลายอย่างจะดูแฟนตาซีมากแต่ซีรีส์ก็ยังใช้วิธีคิดแบบคนจริง ๆ ในการเดินเรื่อง เช่นในตอนหนึ่งที่ดาวเทียมสหรัฐถูกลอบโจมตีจากจีน แล้วทีมทัพอวกาศมีเวลาจัดการปัญหาในไม่กี่ชั่วโมง มันมีการเบรนสตรอมกันซึ่งทุกคนก็เสนอความเป็นไปได้ตามฐานตัวละครตัวเองจริง ๆ เช่นแนร์ดเสนอให้ระเบิดอะไรสักอย่าง (ฮา)
และในขณะที่ทีมนักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามง่วนคิดแบบจนตรอกด้วยทฤษฎีต่าง ๆ จะเชื่อหรือไม่ก็ตามความหวังหนึ่งของแนร์ดคือมีการเสนอให้เจ้าลิงชิมแปนซีที่อยู่ใกล้ ๆ ดาวเทียมเดินอวกาศออกไปซ่อม (ฮาx2) แล้วให้ตายเหอะเรา บทมันหลอกล่อจนเราเชื่อว่าไม่มีวิธีอื่นที่ดีและทันเวลาพอแล้ว และลิงคือความหวังที่สมเหตุสมผลสุด ๆ จนเราโคตรลุ้นไปกับเรื่องได้ โอ้ยกราบจริง ๆ
และในระดับความฮาที่ไม่เกินเส้นความรู้สึกเป็นไปได้จริง ซีรีส์ก็ยังแอบหมัดฮุกซ้ายจากมุมอับเข้าหัวใจเราอย่างจัง ด้วยฉากที่อยู่ดี ๆ ก็ซึ้งขึ้นมาเฉยเลยประจำ ฉากที่ดีที่สุดฉากหนึ่งในเรื่องคือตอนที่แนร์ดกำลังทะเลาะเรื่องงบกับมัลลอรี แล้วทั้งคู่ต้องไปให้การต่อหน้ากรรมาธิการของสภาเพื่อขอผ่านงบ
ซึ่งฝั่งตรงข้ามก็ลอกคาแรกเตอร์สาวแรงหัวทันสมัยอย่าง อเล็กซานเดรีย โอคาซิโอ-คอร์เทซ ส.ส. สาวจากรัฐนิวยอร์กคนดังมาแบบเป๊ะเว่อ คือไล่บี้แบบแนร์ดไม่มีทางเอาตัวรอด เช่นเรื่องที่ว่า ทำไมประชาชนต้องจ่ายภาษีกว่าหมื่นเหรียญเพียงเพื่อให้นักบินอวกาศได้ทานส้มแค่เพียงผลเดียวด้วย และเมื่อมัลลอรีงอนไม่ยอมช่วยตอบ แนร์ดชายที่ภายนอกแข็งกระด้างที่สุดคนหนึ่งจึงต้องใช้หัวใจตอบ และมันก็เป็นคำตอบที่ซึ้งสุด ๆ แบบที่เราไม่ทันคาดด้วย แล้วมันก็เปลี่ยนมุมมองที่มัลลอรีมีต่อแนร์ดไปโดยไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับผู้ชมที่เริ่มหลงรักนายพลคนนี้เข้าเสียแล้ว
อเมริกาน่าล้อ
เราได้เกริ่นถึงการเอาคาแรกเตอร์ของ ส.ส. คอร์เทซ มาใช้ไปหน่อยแล้ว แต่ขอบอกว่าซีรีส์นี้ยังหยอดทุกหยาดหยดไปด้วยการเสียดล้อรัฐบาลอนุรักษ์นิยม สังคมอเมริกัน และที่พลาดไม่ได้คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่แม้ในเรื่องจะไม่มีการเอ่ยถึงชื่อหรือหน้าให้เห็นมาก่อน แต่ทั้งทวีต หรือข้อความ sms ที่ส่งตรงมายังตัวละคร ก็เรียกว่าล้อมาเต็ม ๆ ทั้งการใช้ศัพท์ เรียงคำแบบเฉพาะตัว รวมถึงความคิดความอ่านแบบโคตรเอาแต่ใจ ก็กลายเป็นอีกตัวละครที่มีบทแต่ไม่มีตัวตนแล้วโดดเด่นที่สุดในซีรีส์
การประชุมของผู้นำเหล่าทัพของอเมริกา ก็เป็นอีกประการที่ซีรีส์ตั้งใจล้อเป็นพิเศษ เพราะทุกครั้งที่มีการประชุมร่วม เราต้องได้เห็นความคิดแบบอนุรักษ์นิยมจ๋ามาแต่ไกล ยังไม่นับเรื่องปมปัญหาแบบเหยียดกับชาติอื่น ๆ และความคิดฝังลึกราวว่าจะมีสงครามเย็นเกิดตลอดเวลาอีก การสร้างตัวร้ายในเรื่องที่น่าหมั่นไส้แกล้งกันเจ็บแกมหยอกได้สนุกอย่าง รัสเซีย กับจีน ก็เป็นอะไรที่มัน และบ้าบอมาก คือบางจุดซีรีส์ไม่ได้แค่ล้อรัฐบาลอเมริกันแต่กำลังล้อความสัมพันธ์ประหลาด ๆ ของแต่ละประเทศมหาอำนาจไปในตัวด้วย เลยยิ่งเพิ่มคุณค่าในการรับชมซีรีส์ฮาแต่แอบจริงจังเรื่องนี้ไปอีกดอก
สรุป เป็นซีรีส์ที่เอาความขัดแย้งมาใส่ได้ทุกระดับตั้งแต่ขัดแย้งในตัวเอง ขัดแย้งระหว่างตัวละคร และขัดแย้งกันในระดับโลก แล้วก็วางกรอบการเล่าให้ความเป็นคอมเมดี้ไม่หลุดเส้นความสมจริงได้ลงตัว จะดูเป็นหนังตลกก็ได้ จะมองเป็นหนังดราม่าฟีลกู้ดก็แจ่ม ใครคิดว่าจะลองดูแค่สักตอนเดียวดูก่อน เชื่อเถอะว่าห้ามใจไม่ดูตอนต่อยากมาก เสียดายแค่นิดเดียวว่าซีซันแรกช่วงท้ายดูเร่งเรื่องไปนิดแล้วทิ้งปมให้รอดูซีซันต่อได้น่าหยิกมาก โอ้ยอยากดูต่อ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส