Our score
9.8[รีวิวซีรีส์] The Deadline : ซีรีส์ที่จะทำให้คุณได้ตกหลุมรัก ก่อนตาย
จุดเด่น
- นักแสดงทุกคนเขาไม่ได้มาแสดงกันหรอกค่ะ เขามาใช้ชีวิตในซีรีส์เรื่องนี้กันต่างหาก
- พล็อตเรื่องเรียบง่าย กับบทที่เป็นชีวิตและกำลังใจ เหมาะมาก ๆ กับใครสักคนที่กำลังเผชิญปัญหาที่คิดว่าเจ็บปวด ดูเรื่องนี้จะหายปวดไปเยอะเลย
- มุขตลกเสิร์ฟมาเรื่อย ๆ ความรักความอบอุ่นมีให้ตลอดทั้งเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นละครอารมณ์ผสมผสานที่ผสมกันได้อย่างลงตัว อร่อยกรุบ
จุดสังเกต
- มีบางช่วงบางตอนของบทที่อาจะขัดกับความรู้สึกความเข้าใจไปบ้าง แต่ไม่กระทบกับภาพรวม
-
ความสมบูรณ์ของบท
9.0
-
คุณภาพนักแสดง
10.0
-
คุณภาพการเล่าเรื่อง
10.0
-
คุณภาพงานสร้าง
10.0
-
ความคุ้มค่าในการรับชม
10.0
ซีรีส์น้ำดีตั้งแต่ปี 2561 เรื่องนี้เป็น LINE TV ORIGINALS ออกอากาศทุกวันพฤหัสบดีทาง LINE TV แต่ตอนนี้มีให้ดูได้ง่าย ๆ อีกช่องทางหนึ่งแล้วบน NETFLIX ซึ่งก็ได้ออกอากาศมาแล้วตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมานะคะ การันตีคุณภาพด้วย 3 รางวัล จากเวที Asian Television Awards และก็ยังมีซีรีส์ดี ๆ ของ LINE TV ORIGINALS อีกหลายเรื่องเลยค่ะที่ตบเท้าเข้ามาโชว์ดีกรีบน NETFLIX ให้ได้ชมกัน
The Deadline (เดอะ เดดไลน์) เป็นซีรีส์เรียบง่ายที่คลุกเค้าไปด้วยความดีงามในความหมายของ “การมีชีวิต” และการรับมือกับ “ความตาย” ว่าด้วยเรื่องราวของสามสาวพี่น้องที่แต่ละคนต่างมีเส้นชัยและเส้นตายในชีวิตที่แตกต่างกัน ออม (คลาวเดีย จักรพันธุ์ ) พี่สาวคนโตของบ้าน ที่ทำหน้าที่แทนแม่ผู้จากไป เธอเป็น working woman ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มี เบน (เจสัน ยัง) เป็นสามีที่น่ารัก แต่ด้วยวัยที่ใกล้จะ 40 ของเธอ ทำให้ความฝันที่อยากมีลูกสักคนกำลังจะเป็นเรื่องยาก
อาย (ฝน-นลินทิพย์) พี่คนกลาง ที่มีความใฝ่ฝันในเส้นทางสายบันเทิง เธออยากเป็นดาราที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่เด็ก แต่อีกเพียงปีเดียวเท่านั้น เธอจะอายุ 30 ความฝันที่อยากจะเป็นดาราดังให้ได้ของเธออาจหมดสิทธิ์แจ้งเกิด
เอย (นิ้ง-ชัญญา) น้องคนเล็กที่กำลังสดใสและมีชีวิตวัยรุ่นในแบบของตัวเอง แต่วันหนึ่งเอยพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งเหมือนพ่อ (ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) ทำให้ชีวิตและความคิดของเอยค่อย ๆ เปลี่ยนไป
ซีรีส์เรื่องนี้เริ่มต้นจากความตาย
สำหรับใครที่เคยดูซีรีส์เรื่องนี้แล้ว การดูซ้ำอีกสักครั้งเท่ากับการทบทวนความจำในบทเรียนของชีวิตได้เป็นอย่างดี ความดีงามยังคงอยู่หนำซ้ำยังสามารถเข้าใจได้กระจ่างขึ้นจากครั้งแรกที่ดูซะด้วยซ้ำ การันตีด้วยตัวป้าข้างบ้านเองนี่ละค่ะ ดูรอบสองน้ำตามาเร็วกว่าเก่าเยอะเลย ส่วนใครที่ยังไม่เคยดู เข้า NETFLIX แล้วคลิกดูเลย เราขอแนะนำอย่างจริงจัง (ใครไม่มี NETFLIX ก็ยังสามารถดูที่ LINE TV ได้อยู่นะคะ)
เปิดเรื่องมาเราจะพบกับ เอย ที่เป็นมะเร็งเดินเข้าไปในกลุ่มของ มะเร็งพลังบวก ที่เจ้าตัวพร้อมบวกอยู่เสมอ กับความตายที่เป็นจีรังด้วยประโยคของพ่อผู้จากไปในเรื่องนี้ ที่รับบทโดยนักร้อง-นักแสดง ฝีมือหาตัวจับยาก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่ว่า “ความตายของข้าพเจ้านั้น ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง” เรื่องนี้พี่ธเนศแกรับบทเป็นนักเขียนและพ่อเลี้ยงเดี่ยวเมียตายที่แสนจะอบอุ่น ความตายของพ่อมันแสนจะธรรมดาจริง ๆ นั่นแหละ
งานศพเรียบง่ายที่ไม่มีการสวดศพ มีเพียงการอ่านบทความที่ผู้เป็นพ่อเขียนทิ้งไว้ให้ก่อนตายและกำชับให้อ่านในงานศพ ด้วยเหตุผลที่ว่า “สวดไปคนตายก็ไม่ได้ยินและพระธรรมนั้นเป็นของสูงเกินกว่าจะมาบอกกล่าวกับผู้ที่ไม่ตั้งใจฟัง” ปิดท้ายด้วยการขายหนังสือเป็นมรดกลิขสิทธิ์ให้ลูกหลานได้อีก ตลกร้ายจริง ๆ นั่นแหละ คุณพ่อ
ในระหว่างที่ต้องรับมือกับความตาย พ่อยังคงทำหน้าที่ของพ่ออยู่เสมอ เริ่มต้นด้วยการเตรียมตัวรับมือกับความตายอย่างเข้าใจและส่งต่อความเข้าใจไปถึงลูก ๆ ที่กำลังหวาดวิตก “ไม่มีเรื่องอะไรที่น่ากลัว มีแต่เรื่องที่เราไม่เข้าใจ ถ้าเราเข้าใจมันแล้วเรื่องนั้นก็จะไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป” ประโยคที่พ่อกำลังปลอบเอยประโยคนี้ กลายเป็นประโยคที่กำลังบอกกับทุกคนที่กำลังดูซีรีส์เรื่องนี้ไปด้วยกัน และยังมีอีกหลาย ๆ ประโยคที่สร้างพลังบวกได้อย่างง่าย ๆ ตรงประเด็นจนต้องบอกว่า อืม….มันจริง
สั้น กระชับ ได้ใจความ
เราสามารถดูซีรีส์เรื่องนี้จบได้ในรวดเดียว ไม่ใช่แต่เพียงเพราะมันมีตอนที่สั้นแค่ 8ep เท่านั้น แต่เนื้อหา สาระ อารมณ์ขันหรือแม้แต่อารมณ์รักหลากรูปแบบที่ซีรีส์ใส่เข้ามา มันช่างกระชับไม่เวิ่นเว้อและสมจริงจนสัมผัสใกล้
เราจะเห็นความรักความอบอุ่นที่ครอบครัวมีให้แก่กัน พ่อและลูกสาวสามคนที่พี่สาวคนโตต้องทำหน้าที่แม่ให้กับน้องสาวคนเล็กที่ยังไม่หย่านม เป็นทั้งพี่และแม่ในเวลาเดียวกันอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ยังมีความเป็นตัวเองและมีความเป็นลูกสาวของพ่อที่พ่อต้องคอยเอาใจใส่อย่างเต็มเปี่ยม เหมือนกับสิ่งที่เธอทำคือหน้าที่ที่มาพ้อมความรักโดยไม่ได้ฝืนใจ เราจะเห็นพี่สาวคนรองที่รับหน้าที่ดูแลพ่อและน้องที่เจ็บป่วยอย่างไม่ขาดตก ในขณะเดียวกันก็เดินตามความฝันของตัวเองไปด้วย
เราจะเห็นพ่อที่เข้าใจธรรมชาติของลูกทุกคนเป็นอย่างดี และเป็นพ่อที่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเหยียบความฝันของลูก ถึงแม้ว่าฝันนั้นจะไกลริบหรี่ แต่สิ่งที่ทำคือการเป็นส่วนหนึ่งในฝันนั้นอย่างเต็มที่ เป็นกำลังใจชั้นดี เป็นผู้ช่วยชั้นยอด เป็นเพื่อนคู่คิด ถึงแม้ว่าตัวเองกำลังเดินอยู่บนเส้นลวดแห่งชีวิตก็ตามที ฟังดูเหมือนพ่อคนนี้แกจะเหนื่อยนะ แต่เชื่อเถอะ ซีรีส์จะทำให้เราเห็นชัดแจ๋วเลยว่ามันคือความเหนื่อยที่โคตรจะสุขเอามาก ๆ
เราจะเห็นความรักของสามสาวพี่น้องที่มีให้แก่กันหลังพ่อจากโลกนี้ไป ที่มีความเป็นธรรมชาติใกล้เคียงกับชีวิตจริงจนไม่ต้องจินตนาการตาม ซีรีส์เล่าเรื่องราวหลากอารมณ์อย่างตรงไปตรงมา อารมณ์รักและหวังดีระคนเป็นห่วงของพี่สาวสองคนที่มีต่อน้องคนเล็ก อารมณ์ความรู้สึกของน้องคนเล็กที่ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งในวัยเพียง 20เศษ ๆ ความเข้าใจที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ความเข้มแข็งที่จะมาในภายหลัง ความสุข ความเศร้า วิบากกรรมที่สามสาวต้องเผชิญในรูปแบบที่แตกต่างกันตามวิถีชีวิตของแต่ละคน ผสมปนเปไปกับมุกตลกที่เรียกได้ว่าเป็นจังหวะซิตคอมจนเรียกเสียงหัวเราะออกมาได้อย่างง่าย ๆ
เต็มไปด้วยมิตรภาพ
นอกจากความรักในครอบครัว ชีวิตเราควรมีเพื่อนดี ๆ ไว้ข้างกายอย่างน้อย 1 คน และนอกจากเพื่อนดี ๆ ที่วนเวียนอยู่ในชีวิต เราควรมีมิตรภาพที่ดีจากใครสักคนเพื่อเก็บไว้ในความทรงจำ เรื่องนี้มิตรภาพเยอะเลยเชียวแหละ และเราทุกคนสามารถมีแบบนี้ได้ในความเป็นจริง
ความสัมพันธ์ที่น่ารักนอกรั้วบ้าน นอกจากพ่อแม่พี่น้องแล้วก็เห็นจะไม่พ้นเพื่อนซี้นี่แหละค่ะ ในเรื่องนี้ “ส้ม” และ “วีนัส” คือเพื่อนที่ดีสมควรแก่คำว่าเพื่อนแท้และที่สำคัญ สองคนนี้ยังเป็นสีสันเรียกความฮาให้กับเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก เหมือนเป็นชูรสที่ขาดไปคงเสียดายแย่ โดยเฉพาะส้มเพื่อนของเอยที่มาทีไรก็พกความฮาแบบน่ารักมาให้ได้เห็นทุกครั้ง และสิ่งที่เธอพกมาด้วยเสมอคือความรักที่มอบให้เอยอย่างจริงใจ
นอกจากมิตรภาพแท้ ๆ ที่ได้จากคำว่าเพื่อนแล้ว มิตรภาพจากผู้ร่วมชะตากรรมระหว่างเอยกับลุงที่เป็นมะเร็งเหมือนกัน ก็เป็นมิตรภาพที่เรียกได้ทั้งรอยยิ้มและน้ำตาจนเราคาดไม่ถึง น้ำตาไหลกับฉากถือไอติมของเอยเอามาก ๆ อยู่ ๆ ก็เข้าใจความรู้สึกตัวละครได้หน้าตาเฉย …. ก็นัดกันแล้วไม่มาอ่ะลุง
หรือป้าแป๋ว ป้าข้างบ้านที่เราแสนจะขบขันกับความขี้เผือกและประโยคคำถามที่น่าส่ายหัวของแก ป้าเป็นสีสันที่ดีของซีรีส์เรื่องนี้เลยละ ตัวละครป้าแป๋วสามารถตอกย้ำคุณสมบัติของเพื่อนบ้านที่เป็นเบอร์หนึ่งได้เป็นอย่างดี เพราะการเผือกของป้าที่นอกจากความอยากรู้อยากเห็นตามสไตล์มนุษย์ป้าผู้ห่วงใยแล้ว ยังเต็มไปด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจ (ถึงเราจะไม่ต้องการก็ตาม) แต่เมื่อยามเราเดือดร้อนเรากลับนึกถึงป้าเป็นคนแรกซะอย่างนั้นและมั่นใจไปซะอีกว่าป้าจะช่วยเราได้ แล้วป้าก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวังซะด้วยสิ
การแฟลชแบ็กที่ดีที่สุด
ตั้งแต่ดูซีรีส์มาทั้งของไทย เกาหลี จีน การแฟลชแบ็กของเรื่องนี้นับว่าดีที่สุดจริง ๆ นะ เป็นการเอา 1Ep มาแฟลชแบ็กที่ทำให้อินกับเนื้อเรื่องมากขึ้น เข้าใจตัวละครมากขึ้นโดยเฉพาะตัวละครป้าแป๋ว ที่เห็นแล้วก็อยากจะบอกว่าอย่าไปรำคาญป้าแป๋วเลย ป้าเป็นมิตรแท้ข้างบ้านที่ดีที่สุดแล้ว เพราะทำให้เรารู้ว่าเราสามารถเข้าโครงการ “ฝากบ้านไว้กับแป๋ว” ได้อย่างสบายใจมากกว่าอะไรทั้งหมด
ซีรีส์ทำให้เราซาบซึ้งกับความรักในครอบครัวในหลาย ๆ ตอนมาแล้วแต่พอเจอแฟลชแบ็กเข้าไปเพียงตอนเดียว ความรู้สึกที่มีมามันยิ่งเพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่การย้อนกลับไปเพื่อทำให้กระจ่าง แต่ย้อนกลับไปเพื่อตอกย้ำสายสัมพันธ์ของสี่คนพ่อลูก ยืนยันความรักของพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่ต้องเลี้ยงลูกสาวสามคนและลามเลยไปถึงเพื่อนบ้าน เผื่อแผ่ไปถึงการมาของเบน สามีของออมในคราวเดียว
ซีรีส์พลังบวกที่ชัดเจนในคาแรกเตอร์
เรื่องของการเล่นสีในซีรีส์เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราตื่นจากภวังค์แล้วเห็นความจริงว่า “นี่คือละคร” เพียงแต่เป็นละครชีวิตที่ใกล้เคียงชีวิตมาก ๆ เท่านั้นเอง เนื่องจากคาแรกเตอร์ของสามสาวเป็นคาแรกเตอร์ที่ชัดเจน มีความแตกต่างในช่วงวัย ความคิดและอุปนิสัย เราจะเห็นตัวละคร ออม ที่เป็นพี่สาวคนโตใส่เสื้อผ้าด้วยโทนสีน้ำเงินเป็นส่วนมาก ส่งบุคลิกให้ดูสุขุม มั่นใจ เราจะเห็นอายในชุดสีเหลืองสดใสอยู่แทบตลอดเวลาและ เอย กับเสื้อผ้าสีแดงเพื่อเพิ่มพลังชีวิต
รายละเอียดนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรามั่นใจได้ว่า ซีรีส์จงใจใส่ความหมายเชิงสัญลักษณ์มาตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเพลงประกอบ มุมกล้อง ล้วนสอดคล้องเพื่อแสดงให้เห็นถึงนัยที่ซ่อนอยู่ ชอบเป็นพิเศษในหลาย ๆ ฉากโดยเฉพาะฉากที่อายเข้าไปแคสติ้งบทนำในภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง การดีไซน์ภาพและเสียงในช่วงนี้กรี๊ดมากค่ะ ชอบมากจริง ๆ กับฉากนี้ บวกกับฝีมือการแสดงของ ฝน-นลินทิพย์ ที่ดึงอินเนอร์ในช่วงอารมณ์นี้ออกมาได้ดี จนทำให้แค่ไม่กี่นาทีในช่วงเวลาสั้น ๆ เราสามารถเข้าใจความรู้สึกทั้งหมดที่ผ่านมาของตัวละครอายได้อย่างฉับพลัน
นักแสดงคุณภาพที่ยิ่งดูก็ยิ่งคุ้ม
นอกจากบทดี ๆ ที่ซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอออกมาแล้ว นักแสดงทุกคนในเรื่องคือส่วนสำคัญเอามาก ๆ กับการที่จะทำให้บทดี ๆ มันน่าดู คู่ของออมและพี่เบน เป็นคู่สามีภรรยาที่แทบจะเป็นตัวแทนของคำว่าคู่ชีวิตได้อย่างลงตัว ความลงตัวที่ว่านี่ไม่ได้หมายความว่าคู่นี้คือคู่ที่สมบูรณ์แบบหรอกนะคะ แต่ความไม่สมบูรณ์ ปัญหาที่เกิด ความไม่เข้าใจกันและความเข้าอกเข้าใจกันที่สามีภรรยาคู่นี้มีให้กัน การยอมรับในสถานะ ความคิด วิธีการรับมือกับปัญหา มันคือเคสตัวอย่างที่หากคู่สามี ภรรยาคู่ไหน เป็นได้อย่างเบนและออม ความสุขในชีวิตครอบครัวของคุณก็อยู่ไม่ไกล
ในบทนี้เจสัน ยัง และ คลาวเดีย ถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก ๆ จนรู้สึกได้ถึงความเป็นครอบครัวอย่างแท้จริง มืออาชีพเขาแสดงกันแบบนี้สินะ หรือพี่เอก ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ที่สวมบทพ่อของสามสาวได้อย่างอบอุ่นหัวใจ เป็นพ่อที่หากว่าใครได้เป็นลูก ไม่มีทางที่จะผ่านความทุกข์ไปเพียงลำพังแน่นอน เพียงเหลือบตามองไปข้าง ๆ รับรองว่าจะมีสายตาของพ่อจับจ้องอยู่เป็นแน่
และอีกบทหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้ เพราะแทบจะเป็นหัวใจของเรื่องคือบทของ เอย น้องนุชสุดท้องที่เป็นมะเร็งเหมือนพ่อ ตัวแสดงตัวนี้กำลังบอกเราและใครอีกหลายคนที่กำลังเผชิญโรคร้ายว่า กำลังใจจากคนรอบข้าง ถึงแม้จะสำคัญมากแค่ไหนและต่อให้มีมากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำให้เราลุกขึ้นสู้ได้อย่างเต็มร้อย เท่ากำลังใจของตัวเราเอง นิ้ง-ชัญญา กับบทนี้ต้องขอปรบมือให้ดัง ๆ เลยว่า เก่งมาก ๆ ก็ขอให้น้องปลอดภัยหายดีเป็นปลิดทิ้งกับโรคภัยที่เผชิญอยู่ อยากเห็นผลงานในเรื่องอื่น ๆ ของน้องอีกค่ะ
ในเมื่อเราไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงและแก้ไขอดีตได้ แทนที่เราจะนั่งนับถอยหลังรอวันตาย เราเลือกที่จะนับวันที่มีชีวิตต่อไปบนโลกนี้ดีกว่า หนึ่งประโยคสุดท้ายจาก The Deadline คือซีรีส์ที่อยากบอกทุกคนว่า ดูเถอะค่ะ แล้วคุณจะไม่ผิดหวัง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส