Release Date
04/09/2020
จำนวนตอนต่อซีซัน
10 ตอน
Our score
7.3[รีวิวซีรีส์] Away: เมื่ออวกาศเป็นเพียงฉาก ใช้ความไกลห่างเล่าถึงความเป็นมนุษย์
จุดเด่น
- ภาพสวยโปรดักชั่นดี
- มีประเด็นหลากมิติทั้งเรื่องส่วนตัว การเมือง และความแตกต่างของวัฒนธรรม
- ใช้ปัญหาที่เกิดจากการใช้ชีวิตในอวกาศมาช่วยสร้างอารมณ์และความดราม่าได้ดี
- ลำดับเรื่องราวและเรื่องยากๆ ให้เข้าใจง่าย ไม่ปวดหัว
- มีความดราม่าในระดับที่พอเรียกน้ำตาได้
จุดสังเกต
- มีความไม่สมจริงในรายละเอียดเชิงวิทยาศาสตร์โผล่มาเป็นระยะ
- บุคลิกของตัวละครบางมุมดูเปราะบางกว่าที่เราคาดว่านักบินอวกาศจะเป็น
- มีความไม่สมเหตุสมผลในบางประเด็น
- เดินเรื่องค่อนข้างช้า และบางตอนก็เนิบมาก ๆ แต่ก็ช่วยให้เราตะกอนและซึมซับอารมณ์ได้ในบางจังหวะเช่นกัน
-
ความสมบูรณ์ของเนื้อหา
6.5
-
คุณภาพงานสร้าง
8.0
-
ประเด็น
7.5
-
การตัดต่อ ลำดับ และการดำเนินเรื่อง
7.5
-
ความคุ้มค่าเวลาในการรับชม
7.0
Away เป็นซีรีส์น่าตื่นเต้นและสะเทือนอารมณ์ในระดับมหากาพย์ ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของมนุษย์ทั้งในเรื่องความก้าวหน้าอันเหลือเชื่อ และการเสียสละส่วนตัวที่ต้องดำเนินไปพร้อมกัน
นี่คือคำโปรยจาก Netflix สำหรับ ‘Away: ด้วยรักจากขอบฟ้า’ Netflix Original Series จากผู้อำนวยการสร้าง Jason Katims เขียนบทโดย Andrew Hinderaker ที่เพิ่งฉายให้รับชมกันไปเมื่อวันที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา แม้ตัวอย่างหนัง คำโปรย รวมถึงชื่อภาษาไทยจะใบ้ให้เรารู้แล้วว่า ซีรีส์เรื่องนี้น่าจะเน้นหนักไปทางด้านเร้าอารมณ์ สร้างดราม่า มากกว่าจะเป็นการผจญภัยในอวกาศ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
เรื่องราวของความห่างไกล เริ่มต้นด้วยการเดินทางจากโลกของนักบินอวกาศ 5 คน 5 สัญชาติที่ต่างมีพื้นเพ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน โดยมี Emma Green (รับบทโดย Hilary Swank) นักบินอวกาศหญิงของสหรัฐฯ ผู้ต้องรับศึกหนักทั้งในบทบาทหัวหน้าผู้ควบคุมทีม ภรรยาและแม่ เธอจำต้องห่างไกลกับสามี Matt Logan (Josh Charles) และลูกสาววัยรุ่น Alexis Logan (Talitha Bateman) ในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องการเธอมากที่สุด เพื่อภารกิจพิชิตดาวอังคารที่ใช้เวลายาวนานถึง 3 ปี
การดำรงชีวิตในยานอวกาศ ทำให้ลูกเรือแต่ละคนต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่เกิดจากระบบและความขัดข้องภายในยาน ปัญหาสุขภาพส่วนตัว ตลอดจนสภาวะทางจิตใจอันเนื่องมาจากการ ‘อยู่ห่าง’ จากผู้คนที่คุ้นเคย ส่งผลให้เรื่องราวเข้มข้น ทวีความตึงเครียด และชวนลุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซีรีส์อวกาศดูไม่ยาก แต่ก็ใช่ว่าสมจริงไปทั้งหมด
ด้วยประเภทของซีรีส์ที่ถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ Sci-fi Drama ทำให้เป็นประเด็นที่มองข้ามไม่ได้ที่จะพูดถึงความเป็นอวกาศและวิทยาศาสตร์ในหนัง แค่เพียงชอตแรกก็ทำเอาเราแทบช็อก เพราะนางเอกผู้กำลังเดินเพลินเพลิดชมความงามอันน่าทึ่งบนดวงจันทร์ โดยมีภาพโลกอันห่างไกลนั้น หันหน้าด้านข้างรับแสงจากดวงอาทิตย์ แต่ดันเปิดแถบป้องกันรังสีให้เห็นหน้าชัด ๆ ผ่านหมวกอวกาศใสซะนี่ แม้ภาพที่ได้จะสวยจับใจ แต่นั่นมันอันตรายมากนะเธอออ
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดอย่างอื่น เช่นสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงที่จะหายไปทันทีเมื่อเข้าไปอยู่ห้องพักส่วนตัวของแต่ละคน ซึ่งจุดนี้ก็ไม่แน่ใจนักว่า เทคโนโลยีในยุคที่ส่งมนุษย์เดินทางไปดาวอังคารได้แบบในซีรีส์ (ซึ่งน่าจะอีกหลายปีมาก ๆ เพราะทรัมป์ประกาศว่าจะส่งมนุษย์ไปดวงจันทร์ในปี 2028 แต่นั่นเป็นแค่จุดเริ่มของการสร้างฐานบนดวงจันทร์เพื่อไปดาวอังคารเท่านั้นเอง) จะทำให้เกิดพื้นที่ที่มีแรงโน้มถ่วงเฉพาะส่วนได้หรือไม่ ทั้งพื้นที่ใช้สอยภายในยานก็กว้างขวางเกินคาด ระยะดีเลย์ของภาพและเสียงในช่องทางสื่อสารกับโลกก็แทบไม่มี (แต่บทจะมีก็ดันห่างทีครึ่งชม. เฉย) แล้วยังการประดับตกแต่งในยานช่วงคริสต์มาสอีก แต่ถ้าคิดในมุมกลับ ถ้าต้องมานั่งปั้นหน้าดราม่าในสภาพผมชี้ในห้องสุดแคบ แถมคนที่คุยกันยังตอบกลับช้ามาก ๆ ความสวยงามของภาพ ความซาบซึ้ง และความหน่วงในอารมณ์คงหนีหายไปหมด ในแง่ของความบันเทิง พวกรายละเอียดเหล่านี้ก็คงต้องหยวน ๆ ไปสินะ
แม้จะบ่นไปเยอะ หากดูในภาพรวมก็ต้องยอมรับว่า โปรดักชันดีและภาพสวย แถมผู้สร้างยังทำการบ้านมาไม่น้อยเลย เพราะสามารถนำเอาข้อเท็จจริงและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการ ‘ใช้ชีวิตในอวกาศแบบ Daily life’ อาทิ สภาพร่างกายที่เสื่อมโทรมลงเพราะสภาวะไร้น้ำหนัก ระบบยังชีพขัดข้อง มาใช้ประโยชน์ ช่วยดึงดราม่าและถ่ายทอดออกมาได้ไม่เลวเลย (และคาดว่าในซีซันหน้า น่าจะใช้ปัญหาประเภทที่เกี่ยวกับการสำรวจ หรือการทำงานของยาน ที่ใหญ่และยากมากขึ้น และนั่นก็น่าจะทำให้เนื้อเรื่องระทึกขึ้นไปอีกระดับด้วย)
ทั้งบทพูด งานภาพและเสียงประกอบ ก็ช่วยเล่าปัญหาทางเทคนิคและองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้เข้าใจได้ง่าย เห็นภาพและรู้สึกตามได้ชัดมาก แม้ผู้ชมจะไม่มีพื้นความรู้หรือจดจ่อโฟกัสมากนักก็สามารถเข้าใจได้ แถมยังช่วยเสริมให้เกิดความ ‘อิน’ ไปกับสิ่งที่ตัวละครแต่ละตัวต้องเผชิญอีก เรียกได้ว่า ใช้อวกาศเป็นฉากหลังหรือส่วนเสริมใช้สร้างสถานการณ์ให้เรื่อง เพื่อดึงเอาความเป็น ‘มนุษย์’ ออกมาได้ดีพอสมควรเลยทีเดียว
ยิ่งห่างไกลยิ่งมากด้วยความเป็นมนุษย์
มาที่เนื้อเรื่องกันบ้าง การให้คน 5 คน ภูมิหลังต่างกัน ทั้งยังมีภาระหน้าที่ที่ต่างฝ่ายต่างแบกรับไว้ในฐานะตัวแทนของประเทศ ต้องมาอยู่รวมกันแบบหนีไปไหนกันไม่ได้ แถมยังต้องไกลห่างจากคนที่รักก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจไม่เลวเลย เพียงแต่ว่ามันดันมาอยู่ในภารกิจยิ่งใหญ่ระดับมวลมนุษยชาติซะนี่ แค่เปิดประเด็นมา ก็มีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองมากมาย เลยดูเหลือเชื่อมากไปหน่อยที่จะรวมชาติมหาอำนาจเหล่านี้ให้มาอยู่ในภารกิจขององค์กรอวกาศนาซาของสหรัฐฯ ได้ตั้งแต่ต้น
แม้จะดูไม่เข้าทีอยู่บ้าง แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆ จะพบว่าจุดนี้เองที่เป็นส่วนที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้สนุกและชวนติดตาม ลักษณะนิสัยและปมของตัวละครที่เกิดจากวัฒนธรรมที่แตกต่าง รวมถึงการใช้ภาษาแม่ในการเดินเรื่อง ก็ช่วยให้ซีรีส์ดูเป็นธรรมชาติ สมจริง ไหลลื่นพอควร แต่ก็น่าคิดว่ามันสะท้อนภาพลักษณ์ของแต่ละประเทศในเวทีโลกผ่านตัวละครที่เป็นตัวแทนได้เป๊ะขนาดนี้เชียวหรือ
ทว่า เมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ ยิ่งห่างไกลจากโลกเท่าใด มันก็ยิ่งช่วยกะเทาะเปลือกของความเป็นชาติได้มากเท่านั้น และนั่นก็ช่วยให้ผู้ชมลงไปลึกถึงแก่นของ ‘ความเป็นมนุษย์’ ที่เหนือกว่าการแบ่งแยกด้วยชนชาติได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเสริมด้วยจังหวะการเล่าที่ไม่เร่งรีบ ทิ้งระยะให้เกิดความนิ่งคิดทบทวน ก็ชวนให้คนดูอินตามเนื้อเรื่องไปได้ไม่ยากเลย แต่จุดนี้ก็อาจจะไม่ถูกจริตกับผู้ชมสายใจร้อนอยู่บ้างเหมือนกัน
และแม้จะมีความนิ่งเป็นฐาน แต่ก็ใช่ว่าซีรีส์จะน่าเบื่อและต้องทนดูด้วยความอึดอัดตลอดเรื่อง การขมวดปมปัญหาที่ตีขนาบทั้งปัญหาเชิงเทคนิคในยานที่ทำให้ตัวละครต้องเทคแอคชั่นอย่างรวดเร็ว และสภาวะจิตใจของคนบนโลกที่ส่งผลต่อคนยานหรือในทางกลับกัน ก็ทำให้คนดูลุ้นตามต่อไปได้เรื่อย ๆ และอินไปกับความเสียสละเพื่อมวลมนุษยชาติอย่างที่ได้เปิดโปรยไว้ จนจบซีซันได้แบบงง ๆ ได้อยู่เหมือนกัน
หากจะให้เทียบมูดแอนด์โทน ซีรีส์เรื่องนี้ก็มีกลิ่นอายแบบภาพยนตร์เรื่อง Contact ที่พยายามจะเชื่อมโยงเล่าเรื่องเทคโนโลยีให้เข้าใจง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็เชื่อมโยงกับความเป็นมนุษย์ ความเชื่อ และปรัญชาเข้าไปด้วย แต่ต่างกันตรงที่ซีรีส์ไม่ได้อารมณ์เคว้งคว้างค้นหาตัวเองได้ขนาดนั้น โทนของเรื่องเน้นหนักที่ความเป็นดราม่า และปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนแบบเดียวกับ Gravity หรือ First man มากกว่า แถมแซมด้วยการเอาตัวรอด ลุ้นระทึกนิด ๆ แบบ The Martian อีกเล็กน้อย ให้ดูแล้วไม่อึดอัดจนเกินไป
ดังนั้น ใครที่ว่าจะดูเรื่ิองนี้เพื่อความลุ้นแบบตื่นเต้นตลอดเวลา ไม่อยากเจอความนิ่งเนิบและอึดอัดเลย หรือถูกใจในขนบแบบไซไฟอวกาศแนวผจญภัย เราแนะนำว่าให้มองข้ามซีรีส์เรื่องนี้ไปเถอะ แต่ถ้าคุณมองหาซีรีส์เกี่ยวกับอวกาศที่เข้าใจง่าย มีประเด็นน่าสนใจที่มากกว่าการเอาตัวรอดในอวกาศ มีความซาบซึ้ง ดูสนุกแบบเรื่อย ๆ และพอลุ้นระทึกได้บ้าง หรือในทางกลับกันคือ อยากจะดูซีรีส์ดราม่าเรียกน้ำตาสักเรื่องที่มีฉากเป็นอวกาศสวย ๆ ซีรีส์เรื่องนี้ก็ตอบโจทย์นั้นได้อยู่
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส