[รีวิวซีรีส์] The Crown Season 4 – เทพนิยายสอดไส้ระกำ

Release Date

15/11/2020

The Crown Season 4/ Netflix/ 10 Episodes

นักแสดงนำ:โอลิเวีย โคลแมน,เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์,โทเบียส เมนซีส์ /ผู้สร้าง:ปีเตอร์ มอร์แกน

Our score

8.7

[รีวิวซีรีส์] The Crown Season 4 – เทพนิยายสอดไส้ระกำ

จุดเด่น

1. เอมมา คอร์ริน เป็นเจ้าหญิงไดอานาได้เพอร์เฟกต์มาก
2. บทของปีเตอร์ มอร์แกน ยังยอดเยี่ยมเช่นเคย
3. เหตุการณ์หลายอย่างในเรื่องน่าสนใจและเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญ

จุดสังเกต

1. ตัวบทราชืนีดูจะลดทอนลงไปเยอะเพราะไปเน้นเรื่องของ เลดี้ ไดอานา กับ มากาเร็ต แท็ตเชอร์ มากกว่า

• ความลงตัวของบท

  9.0

• คุณภาพงานสร้าง

  9.0

• คุณภาพนักแสดง

  8.5

• ความน่าติดตามชมในแต่ละตอน

  8.5

• ความคุ้มค่าเวลาในการติดตามชม

  8.5

ติดตามกันมาต่อเนื่องจนถึงซีซันที่ 4 แล้วสำหรับซีรีส์ที่นำเสนอชีวิตและความขัดแย้งภายในราชวงศ์อังกฤษโดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธเป็นตัวละครสำคัญและถือเป็นซีซันที่ 2 หลังการเปลี่ยนตัวแสดงจากแคลร์ ฟอยมาเป็นโอลิเวีย โคลแมนและเป็นช่วงเวลาที่อังกฤษต้องเผชิญกับวิกฤติหัวเลี้ยวหัวต่อที่จะมากำหนดชะตากรรมของทั้งประเทศและราชวงศ์อย่างมีนัยสำคัญ

โดยในซีซันนี้เหตุการณ์หลักของซีรีส์จะเน้นไปที่ 2 เส้นเรื่องสำคัญนั่นคือการเข้ามาของนาง มากาเรธ แท็ตเชอร์ (จิลเลียน แอนเดอร์สัน)นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษและเลดี้ไดอาน่า (เอมมา คอร์ริน)คู่ชีวิตของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และในช่วงเวลาที่อังกฤษกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติศรัทธาและราชวงศ์ถูกท้าทายอย่างถึงที่สุด สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธต้องทรงประคองทั้งครอบครัวที่กำลังร้าวฉานและประเทศที่กำลังตกต่ำภายใต้รัฐบาลเผด็จการของนางแท็ตเชอร์ให้จงได้

ในซีซันนี้ปีเตอร์ มอร์แกนยังคงเหมาเขียนบททั้ง 10 ตอนแต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือบทบาทของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธจะถูกลดทอนบทบาทไปสู่การเป็นผู้สังเกตการณ์บ้านเมืองและครอบครัวของพระองค์เองมากกว่าจะลงไปอยู่ในเกมขัดแย้งเองเป็นหลัก นั่นทำให้เหตุการณ์ส่วนใหญ่ของ The Crown ซีซันนี้ได้ให้เวลาในการ “จำลองประวัติศาสตร์” ร่วมสมัยที่ราชวงศ์ได้กลายเป็นหมากในเกมอำนาจแทน

โดยส่วนแรกอย่างการเข้ามาของนางมากาเร็ต แท็ตเชอร์ ได้กลายเป็นภาพแทนของผู้หญิงที่เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศและแม้จะอยู่พรรคอนุรักษ์นิยมแต่วิสัยทัศน์ที่อยากจะปฏิรูปประเทศตั้งแต่หัวขบวนยันรากลึกก็ย่อมทำให้ต้องมีปัญหากับพระราชินีนาถอยู่บ่อยครั้งจนถึงกับเกิดศึกใหญ่อย่างเหตุวิกฤติสงครามกลางเมืองในทวีปแอฟริกาที่ทั้งสองฝั่งขัดแย้งกันในประเด็นการบอยคอตการค้าเพื่อต่อต้านสงครามแบ่งแยกผิวสีที่ถือเป็นความขัดแย้งเดียวที่พระราชินีทรงลงมาต่อกรเกมอำนาจด้วยตัวเอง

ซึ่งตรงนี้ต้องขอชื่นชมทั้งโอลิเวีย โคลแมนและจิลเลียน แอนเดอร์สันที่สามารถถ่ายทอดบุคลิกการแสดงได้เหมือนเราไปอยู่ร่วมศึกครั้งนี้ได้อย่างดุเดือดเลือดพล่านจริง ๆ โดยเฉพาะแอนเดอร์สันที่ต้องบอกว่าทั้งเมกอัปและการพยายามเลียนท่าทางและน้ำเสียงของแท็ตเชอร์ถือเป๋็นความพยายามที่น่าชื่นชมและคาดเดาได้เลยว่าเธอจะต้องได้ชิงรางวัลการแสดงแน่นอน แม้ว่าในใจลึก ๆ จะหวังเห็นการตีความตัวละครในมุมของเธอมากกว่าแค่เลียนแบบท่าทางที่บางครั้งก็ต้องยอมรับว่า “ยี่เก” ไม่น้อยเลยทีเดียว (เกร็ดเล็กน้อยสุดตลกก็คือ โอลิเวีย โคลแมนที่มารับบทราชินี เธอเคยเล่นเป็นลูกสาวของมากาเร็ต แท็ตเชอร์ ที่เมอรีล สตรีพแสดงไว้ใน The Iron Lady (2011) ด้วยนะ)

แต่ถ้าถามว่า MVP ของซีซันนี้ึคือใครคำตอบไม่ยากเลยนั่นคือเอมมา คอร์รินผู้รับบทสำคัญที่สุดในชีวิตอย่างเลดี้ ไดอานาที่เธอทำได้ยอดเยี่ยมและมีชีวิตชีวาเอามาก ๆ ทั้งตอนเป็นไดอานา สเปนเซอร์วัย 18 ผู้สดใสสาวสะพรั่งจนถึงการได้จำลองภาพจำของเลดี้ไดอาน่าที่ต้องเผลออุทานในความเหมือนของเธอทุกครั้งราวกับเจ้าหญิงไดอาน่าของเราฟื้นคืนชีพมาจริง ๆ ก็มิปาน

โดยเอมมา คอร์รินจับคาแรกเตอร์ของเลดี้ไดอานาได้อยู่หมัดไม่เพียงแต่การเลียนลักษณะการเดิน การค้อมศีรษะเท่านั้นแต่เสน่ห์ที่เปล่งประกายของเธอยังทำให้เราเหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนไปชื่นชมในความงามและเป็นพยานข่าวฉาวต่าง ๆ รวมถึงการฉายภาพเจ้าหญิงผู้เดียวดายและตัวสำรองของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้เห็นภาพชัดเจน

นอกจากนี้งานกำกับศิลป์ก็ยังคงเป๊ะเช่นเคยโดยเฉพาะบรรดาชุดของเลดี้ไดอานาที่รู้เลยว่าทีมงานวางแผนและหาข้อมูลมาอย่างดีตั้งแต่ชุดแต่งงานสีขาวลูกไม้สุดสวยแต่แอบซ่อนการบอกใบ้ถึงหายนะในชีวิตคู่ประหนึ่งงานศพไว้ในดีเทล หรือจะเป็นชุดเดรสสีน้ำเงินในฉากเต้นรำที่ออสเตรเลียพร้อมเพลง Can’t Take My Eyes Off You ที่สะกดคนดูให้เพ้อได้จริง ๆ รวมไปถึงการออกแบบสีชุดที่ดูเย็นชาและมืดทึมขึ้นเรื่อย ๆ หลังมีปัญหาในชีวิตสมรสและต้องทรมานจากโรคบูลิเมีย (ล้วงคออ้วก) ก็นับเป็นการแสดงภาวะตัวละครผ่านงานศิลป์ได้อย่างลึกซึ้ง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส