Release Date
15/01/2021
Creator: Jac Schaeffer
Stars: Elizabeth Olsen, Paul Bettany, Teyonah Parris
Network : Disney+
Episodes : 9 (Weekly)
Our score
8.2[รีวิวซีรีส์] Wanda Vision – ส่อง5ตอนแรกเจาะลึก Scarlet Witchและเชื่อมจักรวาล MCU เกินคาด
จุดเด่น
- เป็นการพลิกแนวทางของซีรีส์ฮีโร่ให้แปลกใหม่และน่าติดตาม
- แนวทางการดำเนินเรื่องน่าจะมีผลต่อทิศทางของ MCU ในเฟส 4 มากทีเดียว
- นักแสดงมีเสน่ห์ทุกคนทั้ง พอล เบตตานี และ เอลิซาเบธ โอลเซ่น รวมถึง จอมขโมยซีนอย่าง แคเธอรีน ฮาห์น ด้วย
จุดสังเกต
- การเดินเรื่องใน 3 ตอนแรกอาจจะมีความคืบหน้าที่น้อยไปเสียหน่อย เพราะต้องคงคอนเซ็ปต์ของการเป็นละครซิตคอม
-
ความลงตัวของบทภาพยนตร์
7.5
-
คุณภาพงานสร้าง
8.0
-
คุณภาพนักแสดง
9.0
-
ความสนุกน่าติดตามในแต่ละตอน
7.5
-
ความน่าติดตามต่อ
9.0
เรียกได้ว่าทิ้งให้แฟน ๆ หนังมาร์เวลต้องเงียบเหงาไปร่วม 1 ปีเต็มหลังปิดเฟส 3 ของMCU ไปกับ Spider-Man Far From Home ประกอบกับการเลื่อนวันฉายมาอีก 1 ปีของ Black Widow หนังที่จะเปิดศักราชใหม่ของหนังมาร์เวลในเฟสที่ 4 แต่กระนั้นในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ระบาดของไวรัส COVID-19 ทางมาร์เวลก็ยังอุตส่าห์กัดฟันผลิตซีรีส์มาได้ทันออกอากาศทาง Disney+ ในปี 2021 ได้ 1 เรื่องโดยเลือกหยิบเรื่องราวของ แวนดา แม็กซิมอฟ หรือ แบล็กวิโดว์ กับ วิชั่น
โดยตัวซีรีส์จะมีทั้งหมด 9 ตอนในรูปแบบลิมิเต็ดซีรีส์หรือซีรีส์จบในตอน ที่สำคัญคือมันถูกวางไว้เป็นส่วนหนึ่งของ MCU (Marvel Cinematic Universe) ในเฟสที่ 4 และถ้ายังเล้าหลือกันไม่พอทางพ่อเควิน ไฟกีผู้คุมหางเสือของ MCU ยังบอกอีกว่ามันจะเชื่อมโยงกับปรากฎการณ์ใน Doctor Strange and the multiverse of Madness ภาคต่อหนังหมอแปลกที่ Scarlet Witch จะมีบทบาทร่วมโดยตรงอีกด้วย
โดยในตอนแรกซีรีส์ Wanda Vision นำคนดูสู่โลกของละครซิตคอมโทรทัศน์ภาพขาว – ดำพร้อมเรื่องราวชวนหัวของแวนดากับวิชันในคราบคู่แต่งงานใหม่ที่ย้ายเข้าหมู่บ้านชานเมืองแบบฉบับอเมริกันดรีม และแม้ทั้งคู่จะมีพลังพิเศษแต่ก็เลือกเก็บซ่อนมันไว้ภายใต้รูปลักษณ์ของมนุษย์มนาธรรมดาทว่าพวกเขาก็เริ่มสัมผัสความผิดปกติได้ทีละน้อยทั้งเสียงประหลาดหรือโดรนสีแดงที่โดดเด่นผิดยุคของพวกเขา
และที่เพิ่งเล่าไปนั้นเป็นแค่เรื่องราวของซีรีส์ใน 2 ตอนแรกที่ปล่อยให้คนดูสงสัยว่าแท้จริงแล้วพวกเขากำลังเผชิญกับปัญหาอะไรกันแน่ ทำไมวิชันถึงฟื้นคืนชีพได้ทั้งที่เราเห็นเขาถูกธาร์นอสดึงมณีแห่งจิตไปในภาค Infinity War แล้ว โดยในช่วงแรกซีรีส์แพลมข้อมูลว่าโลกที่เราเห็นในช่วงแรก ๆ ไม่น่าใช่เรื่องปกติก็มีแค่ฉากก่อนเอนด์เครดิตที่ภาพค่อย ๆ เผยให้เห็นว่ามีใครกำลังดูพวกเขาอยู่ในอีกมิติหนึ่งผ่านรูปลักษณ์ (Tropes) ของละครซิดคอม
กระนั้นเราก็ยังไม่ทราบอะไรมากนักเพราะซีรีส์เองมิดเม้มข้อมูลไว้เยอะเหลือเกินและสร้างปรากฎการณ์เอ๊ะ.. เอ๊ะ.. เต็มไปหมดไม่ว่าจะโดรนสีแดงหรือเสียงประหลาดที่อยู่ ๆ ก็ดังมาตามวิทยุโบราณหรือบุคคลลึกลับในชุดป้องกันกัมมันตรังสี ซึ่งข้อดีของ 2 ตอนแรกนี่บอกเลยว่าคือความแปลกใหม่ไม่คุ้นตาทั้งในฐานะซีรีส์ใน MCU และการเล่าเรื่องของซีรีส์ฮีโรจากคอมิกทั่ว ๆ ไปแต่ปัญหาสำคัญคือแล้วเรื่องราวจริง ๆ มันเป็นยังไงล่ะ ? ซึ่งใครดู 2 ตอนแรกแล้วท้ออยากเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเราจะบอกว่า ช้าก่อน ! เพราะของดีอยู่ในตอน 3 เป็นต้นไป
อ่ะ…อยากรู้ว่าตอน 3 เป็นต้นไปเล่าเรื่องยังไงกดอ่านหน้าต่อไปได้เลย (อาจมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของซีรีส์)
สำหรับตอนที่ 3 สิ่งที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนเห็นจะเป็นคราวนี้ภาพบนจอเริ่มมีสีแล้ว ฮ่าา… ไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ เพราะนอกจากสีสันของภาพจะเปลี่ยนแล้วเรื่องราวในตอนนี้ยังค่อย ๆ เปิดเผยและนำเข้าสู่ (แค่นำเข้าสู่นะครับ ยังไม่เริ่มเข้าเรื่องจริง ๆ เลย)การที่ซีรีส์จะเบนทิศทางไปเล่าเรื่องมิติคู่ขนานอย่างจริงจัง แม้ช่วงแรกมันจะเอาล่อเอาเถิดถึงขั้นอยู่ดี ๆ ก็ให้แวนดากับวิชันมีลูกด้วยกันและเล่นกับสถานการณ์คับขัน แวนดาจะคลอดลูก แต่นั่นก็นำพาตัวละครสำคัญนั่นคือ เจอรัลดีน ที่จะมีความสำคัญกับเรื่องราวในฐานะตัวละครหลักอีกตัวก่อนที่เรื่องราวในตอนที่ 3 จะจบลงตรงที่เจอรัลดีนย้ำแผลใจของแวนดาที่สูญเสียน้องชายปิเอโตรไปในภาค The Age of Ultron จนถูกซัดออกจากโลกเดิมไปสู่พื้นหญ้าที่มีเจ้าหน้าที่ของ S.W.O.R.D ล้อมอยู่
และพอมาถึงตอน 4 ก็ถึงคราวที่มันจะเล่าโครงเรื่องหลักเสียทีและมันก็เกี่ยวพันกับอีก 2 ชื่อสำคัญนั่นคือ S.W.O.R.D (Sentient Weapon Observation Response Division) หน่วยงานลับหน่วยใหม่ที่เอาตัวละครที่เราคุ้นเคยใน MCU กลับมาให้หายคิดถึงทั้งสายฮาอย่าง เอเจนต์จิมมี วู ที่แสดงโดย แรนดอล พาร์ก ที่เคยปรากฎตัวใน Ant-man and the wasp (2018) และดาร์ซี ลิวอิส แสดงโดยแคต แดนนิง สาวแว่นขวัญใจหนุ่ม ๆ จาก Thor 2 ภาคแรกที่กลับมาในฐานะนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ที่ทำงานให้ S.W.O.R.D นั่นเอง
โดยในตอนที่ 4 นี่แหละที่มันจะช่วยยืนยันว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น 3 สัปดาห์หลังปรากฎการณ์หยุดโลกคว่ำธาร์นอสใน Avengers : Endgame (2019) เพราะเริ่มมามันก็เฉลยทันทีว่าเจอรัลดีน แท้จริงคือโมนิกา แรมโบ้ ลูกสาวของมาเรีย แรมโบ้เพื่อนขุ่นแม่กัปตันมาร์เวลที่เราเคยเห็นเธอในคราบเด็กน้อยมาแล้วจาก Captain Marvel (2019) นั่นเองและหลังจากเธอตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลหลังกลับมาจากการถูก “บลิป” จากธาร์นอสนั่นเอง
นอกจากนี้ตอนที่ 4 ในฐานะครึ่งซีซันยังให้ ดาร์ซี ลิวอิส เฉลยด้วยว่าแท้จริงแล้วโลกของซิตคอมที่เราเห็นในตอนที่ 1 – 3 แท้จริงแล้วมันส่งผ่านคลื่นรังสี CMBR – Cosmic Microwave Background Radiation หรือคลื่นรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของจักรวาลและเธอต้องนำทีวีจอตู้เพื่อมารับภาพของโลกซิตคอมดังกล่าวที่มีแวนดากับวิชันและบรรดาพีเพิลตาดำ ๆ ของเมืองเวสต์วิลล์ เมืองล่องหนนำแสดงอยู่และก่อนจะปิดตอนมันก็ทิ้งระเบิดลูกใหญ่นอกจากภาพหลอนที่แวนดาเห็นวิชันในสภาพผีหัวโบ๋แล้ว โมนิกา แรมโบ้ยังไปโผล่อีกมิติพร้อมบอกว่า “นี่มันฝีมือแวนดานั่นเอง” ซึ่งก็คือตอนจบของตอน 3 นั่นเอง
และไม่รอช้าในตอนที่ 5 ที่เพิ่งปล่อยให้ชมเมื่อคืนวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมามันก็เริ่มเล่าเรื่องด้วยสปีดที่หนักกว่าเดิมถึง 3 เส้นเรื่องทั้งการรับมือกับลูกชายฝาแฝดที่โตอย่างรวดเร็วของแวนดากับหมาตัวป่วน ความผิดปกติที่วิชันเริ่มสัมผัสได้จากการที่เพื่อนอย่างนอร์มบอกเล่าความทรมานและเรียกร้องเหมือนให้วิชันหยุดใครสักคนที่เข้ามาปั่นป่วนในหัวสมองของเขาซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าต้องนึกถึงแวนดาแน่นอน
และในตอนที่ 5 นี้เองที่ต้องบอกว่ามันแทบจะเปลี่ยนท่าทีของการเป็นซีรีส์ดูสบายเรื่อย ๆ ขำ ๆ ของ Wanda Vision ไปโดยสิ้นเชิงเพราะนอกจากการที่มันเริ่มเผยไต๋เปิดหน้าปะทะกันระหว่างแวนดา กับหน่วย S.W.O.R.D นำโดยโมนิกา แรมโบ้แล้วมันยังทิ้งท้ายด้วยเซอร์ไพร์สขนานใหญ่ในขณะที่วิชันกับแวนดาแทบจะลงมือซัดกันเองก็มีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นและคนที่มาปรากฎตัวก็เป็นคนที่เธอเคยสูญเสียเขาไปเช่นกัน (ในหน้าถัดไปเราจะเปิดเผยชื่อของตัวละครนี้ – หากยังไม่ได้ดูเราไม่แนะนำให้อ่านนะครับ)
ทีนี้ในหน้าถัดไปเราจะมาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในอีก 4 ตอนที่เหลือจากข้อมูลของเรื่องราวในคอมิกก่อนหน้านี้กัน ถ้าพร้อมแล้วกดอ่านหน้าถัดไปได้เลย
ผ่านมา 5 ตอนแล้วทีนี้เราคงต้องคาดเดากันต่อไปว่าในอีก 4 ตอนที่เหลือทิศทางของ Wanda Vision จะไปทางไหนต่อไปจากคำบอกใบ้บางอย่างที่ซีรีส์บอกเรามาตลอด 5 ตอนนี้ ดังนั้นผมจึงลองต้้งข้อสังเกตและคาดเดาความเป็นไปได้จากข้อมูลของคอมิกต่าง ๆ ของ Marvel ซึ่งสรุปมาได้ดังนี้
Agnes อาจไม่ใช่แค่เพื่อนบ้านสุดฮา
หนึ่งในตัวละครที่สร้างสีสันที่สุดในเรื่อง แอ็กเนสที่โผล่มาตั้งแต่ตอนแรกในฐานะแม่บ้านจอมจุ้นช่วยสร้างสีสันและเสียงหัวเราะได้เป็นอย่างดี แต่บางทีตัวละครนี้อาจเป็นมากกว่าแค่ตัวประกอบก็เป็นได้… โดยอ้างอิงจากคอมิก The Vision and the Scarlet Witch (1985) เขียนโดย สตีฟ เอนเกิลฮาตและริชาร์ด โฮเวลล์ที่เราสังเกตได้ว่ามีเรื่องราวหลายส่วนคล้ายกับใน Wanda Vision เหลือเกินตั้งแต่ตัวละครนอร์มที่ในคอมิกเป็นคนขายบ้านให้ทั้งคู่และกลายเป็นเพื่อนบ้านซึ่งในซีรีส์วิชันก็มีเพื่อนที่ทำงานชื่อนอร์ม
หรือจะเป็นในตอนที่ 2 ที่วิชันและแวนดาต้องโชว์ความสามารถพิเศษในงานระดมทุนของหมู่บ้าน ชื่อที่ทั้งคู่ใช้คือ Glamour และ Illusion ก็ถูกดึงมาจากฉบับที่ 5 ของซีรีส์คอมิกฉบับนี้ ดังนั้นเลยนำมาสู่สมมติฐานของเราว่าบางทีแอ็กเนสที่ได้แคเธอรีน ฮาห์นมารับบทฮาแตกคราวนี้อาจเป็นอกาธา ฮาร์คเนสส์ แม่มดที่เป็นเหมือนอาจารย์ของแวนดาที่สอนศาสตร์แห่งการสร้างภาพลวงตาซึ่งเราก็พอมโนต่อไปได้ว่าบางทีซีรีส์อาจจะให้ตัวละครนี้เผยตัวตนออกมาในฐานะตัวการที่ทำให้ทุกคนในเมืองเวสต์วิลล์ถูกควบคุมให้เล่นละครซิตคอม
หรือนี่จะเป็นการเชื่อมจักรวาล X-Men และเราอาจได้เจอ Magneto (อันนี้สปอยล์เต็ม ๆ สำหรับใครยังดูไม่ถึงตอนที่ 5
สำหรับประเด็นนี้อาจต้องเริ่มจากการปรากฎตัวของ S.W.O.R.D ภายใต้การนำของโมนิกา แรมโบ้ ซึ่งเอามาจากคอมิก Astonishing X-Men (2004) ที่เขียนโดยจอห์น แคสสาเดย์ และ จอสส์ วีดอนผู้กำกับ The Avengers (2012) ที่หน่วยงาน S.W.O.R.D ถูกตั้งขึ้นมาเป็นสาขาของ S.H.I.E.L.D. เพื่อต่อต้านการก่อการร้ายในอวกาศและโลกคู่ขนาน
ซึ่งนั่นเป็นเพียงแค่จุดเล็ก ๆ เพราะในคอมิก Vision and the Scarlet Witch (1982) ได้เผยข้อมูลที่น่าตกใจว่าแวนดาและปิเอโตรเป็นลูกของแม็กนีโตวายร้ายตัวฉกาจใน X-Men และประเด็นนี้ก็ดูชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อตอนจบของตอนที่ 5 ของซีรีส์ยังมีการปรากฎตัวของนักแสดง X-Men คนสำคัญคืออีแวน ปีเตอร์สจาก X-Men Day of Future Past (2014) และ X-Men Apocalypse (2016)
มิหนำซ้ำยังมีคำพูดของดาร์ซี ลิวอิสปิดท้ายอีกว่า “เธอแคสต์ตัว ปิเอโตร มาใหม่เหรอเนี่ย” ซึ่งปิเอโตรก็คือควิกซิลเวอร์ที่ตายไปใน Avengers Age of Ultron (2015) ซึ่งเดิมทีบทนี้แสดงโดย แอรอน เทย์เลอร์ จอห์นสัน จาก Kick Ass ซึ่งด้วยความที่ตัวละครควิกซิลเวอร์ของ X-Men ที่อีแวน ปีเตอร์ส รับบทไว้น่าจดจำกว่าและตอนนี้ Disney ก็ซื้อ 20th Century Fox มาแล้วดังนั้นนี่อาจเป็นโอกาสอันดีที่ Wanda Vision จะเริ่มปูทางการนำ X-Men กลับมาสู่ MCU อย่างเป็นทางการ
หรือ Wanda นั่นแหละเป็นคนสร้างโลกซิตคอมขึ้นมา
สำหรับประเด็นนี้เราแบ่งความเป็นไปได้อยู่ 2 ทางนะครับมาเริ่มที่ทางแรกก่อนคือหากว่าแวนดาถูกควบคุมโดยใครบางคนให้สร้างโลกซิตคอมในโลกคู่ขนานที่ชื่อเวสต์วิลล์ หรือที่ดาร์ซี ลิวอิสเรียกมันว่าเดอะเฮ็กซ์ (The Hex) ซึ่งหากอ้างอิงตามในคอมิก Avengers Disassembled/New Avengers (2004) จะมีการกล่าวไว้ด้วยว่าแวนดาได้สร้างภาพลวงตาเป็นโลกใบใหม่ขึ้นมาเพื่อปั่นป่วนเหล่าอเวนเจอร์สและคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังก็คือ ด็อกเตอร์ดูม ตัวร้ายจาก Fantastic Four นั่นเอง
ซึ่งก็เป็นไปได้หากพิจารณาจากที่ Marvel เองก็มีแผนจะรีบูตสตาร์ตเครื่องหนัง Fantastic Four ใหม่โดยจอห์น วัตส์ ผู้กำกับ Spider-Man Far From Home และการเปิดตัวด็อกเตอร์ดูมใน Wanda Vision ก็ดูดีไม่ใช่น้อยเลย แต่อย่างที่บอกว่านี่ก็ไม่ใช่ความเป็นไปได้เดียวของข้อสมมติฐานนี้เพราะทิศทางการเล่าเรื่องของซีรีส์โดยเฉพาะในตอนที่ 5 ที่ผ่านมาค่อนข้างชัดเจนว่าแวนดาเองก็มีแผลในใจไม่น้อยดังนั้นบางทีอาจเป็นตัวแวนดาเองนั้นแหละที่กลายเป็นผู้ร้ายเสียเอง
โดยอ้างอิงจากคอมิกHouse of M (2005) เขียนโดย ไบรอัน ไมเคิล เบนดิส กับ โอลิเวียร์ โคพิเอล ที่เล่าถึงเหตุการณ์ที่แวนดาเสียสติและสร้างภาพลวงตาขึ้นมาซึ่งในนั้นคือครอบครัวที่เธอสูญเสียไปและลูกของเธอซึ่งเมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนที่ 4 ที่เธอคลอดลูกแฝดอย่างน่าอัศจรรย์รวมถึงโลกของละครซิตคอมที่เหมือนอยู่ในช่วงวัยเด็กของเธอแล้วก็เป็นไปได้นะครับ แถมในคอมิกยังมีการเฉลยอีกว่าผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้คือปิเอโตรกับแม็กนีโตซึ่งตอนที่ 5 ตัวละครปิเอโตรโผล่มาในตอนที่ 5 แล้วเหลือแค่แม็กนีโตเท่านั้นเอง
บอกก่อนว่าข้อมูลที่ผม “มโน” ขึ้นมานี้เป็นการคาดเดาล้วน ๆ ซึ่งก็ต้องติดตามต่ออีก 4 ตอนซึ่งตอนที่ 6 จะเริ่มสตรีมวันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ครับ
อ้างอิง
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส