Release Date
07/05/2021
ความยาว
1 ซีซัน 8 ตอน ตอนละ 30-45 นาที
Our score
6.0Jupiter's Legacy
จุดเด่น
- ปมประเด็นด้านความสัมพันธ์และจิตใจของครอบครัวซูเปอร์ฮีโรนั้นสามารถนำไปต่อยอดให้เป็นผลงานดี ๆ ได้ ความสร้างสรรค์พยายามคิดการเล่าเรื่องก็พอได้ เมกอัปในเรื่องคือดีสุด
จุดสังเกต
- เอฟเฟกต์พิเศษไม่เนียนโดยเฉพาะพวกพาร์ติเคิลต่าง ๆ หลอกตามาก บทยืดจนย้วยซีนที่ไม่มีอะไรขยายยาวจนน่าเบื่อ โดยรวมก็ไม่มีลูกล่อลูกชนให้อยากติดตามอยากรู้หรือทำสิ่งเกินคาดเดาได้มากพอ
-
บท
7.0
-
โปรดักชัน
7.5
-
การแสดง
7.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
4.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
5.0
เรื่องย่อ: ไม่มีตำนานใดอยู่ยั้งยืนยง เหล่าซูเปอร์ฮีโรรุ่นแรกช่วยปกป้องโลกให้ปลอดภัยมาเกือบศตวรรษแล้ว ตอนนี้ถึงคราวที่รุ่นลูกจะต้องมาสานต่อหน้าที่ให้ได้ดีเท่ารุ่นพ่อรุ่นแม่
ซีรีส์แนวซูเปอร์ฮีโรที่ทางเน็ตฟลิกซ์ดูเหมือนน่าจะอยากเอามาฟาดฟันกับ ‘The Boys’ ของไพรม์วิดีโอ ด้วยธีมซูเปอร์ฮีโรที่มีความหม่นดราม่าในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพวกเดียวกัน และระหว่างรุ่นพ่อกับรุ่นลูก ฉาบเปื้อนด้วยฉากโหด ๆ แบบไส้ทะลักให้เห็นเป็นระยะ ทั้งยังเอามาจากกราฟิกโนเวลขึ้นชื่อคล้าย ๆ กันอีก
และก็ดูเรียกว่าน่าสนใจได้ไม่น้อยเลยเมื่อมีชื่อของคอมิกครีเอเตอร์ดังอย่าง มาร์ก มิลลาร์ (Mark Millar) มาขึ้นเครดิตนำ โดยตัวมิลลาร์นั้นเรียกว่าปั้นงานโด่งดังมาหมดแทบทุกค่ายคอมิกอเมริกาแล้วทั้งดีซี และมาร์เวล จนผลงานออริจินอลของตัวเขาเองก็ถูกดัดแปลงมาเป็นหนังดังแล้วหลายเรื่องทั้ง ‘Wanted’ (2008) ‘Kick-Ass’ (2010) และ ‘Kingsman: The Secret Service’ (2014)
สำหรับ ‘Jupiter’s Legacy’ นั้น เป็นผลงานการเขียนตั้งแต่ปี 2013 จนถึงปัจจุบันกับทางค่ายอิมเมจคอมิกส์ ด้วยอายุปีของผลงานที่ยังคงได้สานต่อมาอย่างต่อเนื่องก็พอตอบได้ถึงความนิยม และจุดแข็งสำคัญของงานชิ้นนี้ก็ว่าด้วยประเด็นหนัก ๆ ในครอบครัวของซูเปอร์ฮีโรเอง ยิ่งเรื่องพ่อผู้สมบูรณ์แบบกับลูก ๆ ที่รู้สึกเสียคุณพ่อให้กับชาวโลกจนกลายเป็นเด็กมีปัญหา ก็นับว่าเป็นดราม่าที่ชงเล่นกันได้ยาว ๆ
และสำหรับตัวซีรีส์นั้น ทางผู้สร้างสรรค์หลักอย่าง สตีเวน เอส. ดีไนท์ (Steven S. DeKnight) ก็ทราบดีในจุดแข็งนี้ และทำให้ผู้ชมเห็นปมนี้ได้แต่เนิ่น ๆ ทีเดียว เอาว่าแค่ตอนแรกเราจะเห็นความครบรสทั้ง ดราม่า ข้อขัดแย้งเรื่องความเป็นฮีโรและความเป็นพ่อ ตลอดจนฉากต่อสู้มัน ๆ โหด ๆ พอหอมปากหอมคอ ซึ่งควรจะขับเน้นจุดแข็งเหล่านี้ไปทั้งซีรีส์ แต่ทว่ายิ่งจำนวนตอนที่มากขึ้น เราก็ยิ่งเห็นแผลเหวอะหวะของซีรีส์จนเราแทบจะไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับมันเลย
จุดพลาดใหญ่ ๆ คือซีรีส์ มีพลอตย่อยมากเกินไป ตัวละครเยอะเกินไป เรียกว่าตัวละครหลักที่นำสายตาผู้ชมดันมีหลายตัว ทั้งพ่ออย่าง ยูโทเปียน ที่เป็นดั่งซูเปอร์แมนที่ไม่รู้วิธีเลี้ยงลูก แต่การเผยด้านไม่มั่นคงของจิตใจแบบย้อนอดีตตั้งแต่หนุ่มก็ทำให้เราไม่ค่อยเชื่อถือตัวละครนี้นักจนไม่อยากจะแทนตัวลงไปอิน ถัดมาก็คือตัวลูก ๆ ทั้งลูกชายและลูกสาวก็เหมือนจะพยายามมีชีวิตมีเส้นเรื่องของตนเองในแนวเด็กมีปัญหาเรียกร้องความสนใจ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเส้นเรื่องที่สนุกอะไรเลย ยิ่งคนไทยผ่าน ‘น้ำพุ’ ผ่าน ‘เสียดาย’ มาแล้ว ยิ่งจะไม่รู้สึกอะไรกับพวกนี้เข้าไปใหญ่ และพวกตัวละครประกอบก็มากเกินจำเป็นใช้ไม่คุ้มไม่น่าจดจำ บางตัวหายไปเฉย ๆ แบบงง ๆ
ในขณะที่เส้นเรื่องกลางในการสืบหาผู้บงการแท้จริงก็ไม่สร้างความน่าติดตามอะไรเลยตั้งแต่แรก คือแทบจะเดาได้ และแม้มีหักมุมอะไรก็แทบไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมใด ๆ ด้วย แถมพอเอามาอัดคู่กับเส้นเรื่องดราม่าครอบครัว ยิ่งดูขัดเขินไม่เข้ากัน เหมือนเอาน้ำกับน้ำมันมาเทใส่แก้วเดียวกัน กลายเป็นคนดูไม่รู้จะเอาอารมณ์ไปอินไปสนุกกับส่วนไหนก่อนดี
นอกจากพลอตหลักตีกัน พลอตย่อยก็ยุ่บยั่บ วิธีการเล่าเรื่องยังพยายามสร้างสรรค์มากเกินไปอีก โดยซีรีส์จะใช้การตัดสลับเล่าระหว่างช่วงหนุ่มก่อนได้รับพลังของ ยูโทเปียน (ช่วงที่เขาเหมือนเป็นบ้าตลอดเวลาจนน่ารำคาญ) สลับกับช่วงเวลาในปัจจุบันที่เกิดเหตุการณ์เกิดร่างโคลนปริศนาของโคตรตัวร้ายออกมาอาละวาด (ที่ก็แทบจะเล่าทื่อ ๆ)
จริง ๆ ถ้าหนังสามารถสร้างคอนทราสต์แบบหนุนกันระหว่าง 2 เส้นเหตุการณ์แบบที่หนังคลาสสิกอย่าง ‘The Godfather: Part II’ (1974) ที่เห็นการเผชิญอุปสรรคคล้าย ๆ กันของรุ่นพ่อตอนหนุ่ม กับรุ่นลูกในปัจจุบัน มันคงจะยอดเยี่ยมไม่เบา แต่กลายเป็นว่ามันต่างคนต่างเล่า ไม่ได้มีดีไซน์เก๋ ๆ ที่สอดรับกัน หรือทิ้งปริศนาแบบอยากให้รู้เหมือนพวกซีรีส์ต่างเวลาอย่าง ‘Dark’ เลย กลายเป็นความดาดดื่นหาจุดพิเศษไม่เจอเลยตลอด 8 ตอน
เรื่องน่าชื่นชมของซีรีส์ที่พอมีอยู่บ้างคงเป็น การแต่งหน้าตอนหนุ่มกับตอนแก่ที่ทำได้น่าเชื่อดี การแต่งพวกแผลพวกศพก็ทำได้สยองน่ากลัว เนื้อเรื่องช่วงรุ่นพ่อหนุ่ม ๆ เดินทางไปหาเกาะลึกลับก็เป็นกลิ่นผจญภัยแฟนตาซีเล็ก ๆ ที่ดูน่าสนใจพอประมาณ
แต่คำถามคือเราจะอยากดูซีรีส์ย้วย ๆ ยืด ๆ ที่พลอตจริงน่าจะเล่าได้จบใน 4 ตอน ที่มีข้อดีแค่นั้นน่ะหรือ ส่วนตัวแนะนำให้ผ่าน และถ้าให้ดีเอาเวลาไปดู The Boys สาแก่ใจกว่ากันเยอะครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส