Release Date
13/08/2021
ความยาว
8 ตอน ตอนละ 40-50 นาที
Our score
7.5Brand New Cherry Flavor
จุดเด่น
- กลิ่นคารวะงานสยองขวัญยุค 90 แบบที่มีบรรยากาศเฉพาะตัว การแสดงโดยรวมที่ดูดี การพัฒนาคลี่คลายของตัวละครทำได้น่าสนใจ โปรดักชันทำได้โอเค มีฉากรุนแรงเลือดสาดและโป๊เปลือยเป็นระยะตามความเหมาะสม
จุดสังเกต
- ตามสไตล์เน็ตฟลิกซ์ที่ดีจะดีไม่สุด ซีรีส์มีช่วงดรอปให้อยากเลิกดูเป็นระยะ นอกจากนี้เทคนิคพิเศษบางอย่างก็เชยจัดจนเกือบขำเช่นพวกซอมบี้รองพื้นหนักทั้งหลาย
-
บท
7.5
-
การแสดง
8.0
-
โปรดักชัน
8.5
-
ความสนุกตามแนวหนัง
7.5
-
ความคุ้มค่าการรับชม
7.5
เรื่องย่อ: ช่วงต้นยุค 90s ลิซ่า โนวา นักสร้างหนังสั้นอิสระคนหนึ่งได้มุ่งหน้าสู่ฮอลลีวูดเพื่อขายโปรเจกต์หนังยาวของตัวเอง ก่อนจะดำดิ่งสู่โลกมืดที่พัวพันกับ เซ็กส์ การล้างแค้น ไสยศาสตร์ ประสบการณ์หลอนจับจิต และการให้กำเนิดลูกแมวจากการอาเจียนออกมา!!
อเมริกัน-ลองของ อาจเป็นการให้คำนิยามแบบไว ๆ ที่อาจไม่ตรงเสียทีเดียวนัก แต่ความรู้สึกแรกของมันก็ชวนให้นึกถึงหนังที่หญิงสาวล้างแค้นโดยอาศัยมนตร์ดำและอาถรรพ์น่าสยดสยอง ในแบบที่ก้ำกึ่งระหว่างจะเป็นหนังรุนแรงสุดโหดแบบหนังไทยเรื่องดัง หรือจะเป็นซีรีส์แม่มดทางเน็ตฟลิกซ์ที่มักจะไปไม่สุดอารมณ์ดาร์ก
แต่ที่แน่ ๆ ‘Brand New Cherry Flavor’ หรือชื่อไทย ‘รสแค้นแสนหวาน’ ก็จัดอยู่ในหมวดหนังรสประหลาดสำหรับคนดูหนังทั่วไปอย่างชัดเจน แต่ก็ยังไปไม่ถึงขั้นซีรีส์อมตะอย่าง ‘Twin Peaks’ แม้จะมีกลิ่นบางอย่างในเชิงคารวะอยู่ก็ตาม
ตัวซีรีส์เป็นการดัดแปลงจากหนังสือแนวสยองขวัญชื่อเดียวกันของ ทอดด์ กริมสัน (Todd Grimson) นักเขียนแนวสยองขวัญชื่อดัง ผู้ฝากผลงานแวมไพร์ที่ก่อวัฒนธรรมร่วมสมัยยุค 90s อย่าง ‘Stainless’ ในปี 1996 ซึ่งปีเดียวกันนั้นเองที่เขามีผลงานสยองต่างรสอีกเรื่องคือ ‘Brand New Cherry Flavor’ ที่ว่าด้วยวงการฮอลลีวูดที่ไม่ได้มีแต่ด้านสวยงาม และบางคนก็เลือกต่อต้านความโสมมของวงการบันเทิงด้วยการดำดิ่งสู่โลกมืดของคำสาปแช่ง
‘Brand New Cherry Flavor’ จัดเป็นซีรีส์ที่มีแกนเรื่องแนวดราม่า เมื่อผู้กำกับหนังอิสระโนเนมอย่าง ลิซ่า โนวา ซึ่งรับบทโดย โรซา ซาลาซาร์ (Rosa Salazar) สาวตาโตจากหนัง ‘Alita: Battle Angel’ (2019) มีผลงานหนังสั้นขาวดำสุดสะเทือนเลื่อนลั่นที่ไปเข้าตา ผู้กำกับใหญ่ที่ไม่มีผลงานฮิตมานานอย่าง ลู เบิร์ก เขาสนใจใช้บารมีช่วยปั้นโนวาให้เป็นผู้กำกับหนังยาวเรื่องแรกของเธอ แต่แล้วเมื่อวันหนึ่งเธอทำท่ารังเกียจเขาหลังจากถูกลวนลาม เขาก็ทรยศเธอทันทีขโมยงานของเธอไป และเอาไปให้เด็กในสังกัดกำกับแทน
โนวาที่พลาดท่า ไม่มีโอกาสเรียกร้องความยุติธรรมของเธอได้เลยเพราะความไร้เดียงสาในแวดวงเสือสิงห์กระทิงแรด เธอจึงหันไปพึ่งหญิงลึกลับที่เข้ามาติดต่อเธอนามว่า โบโร (รับบทโดย แคทเธอรีน คีเนอร์ (Catherine Keener) ผู้เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์จาก ‘Being John Malkovich’ (1999) โบโรสัญญาว่าจะช่วยโนวาล้างแค้นใครก็ตามเพียงแต่เธอต้องจ่ายค่าจ้างบางอย่างด้วย และเพียงแค่โนวาตอบตกลง เธอก็สำรอกออกมาเป็นลูกแมวจากปากของเธอทันที ก่อนที่โบโรจะเอาลูกแมวนั้นไปเพื่อใช้ในพิธีกรรมบางอย่างที่เป็นปริศนาของเธอเอง
และเรื่องประหลาดเหล่านี้ก็ดำเนินต่อไปทุกวัน เรื่อยไปจนกว่าโนวาจะล้างแค้นสมใจหรือจนกว่าเธอจะสำนึกได้ว่าไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับของอาถรรพ์เหล่านี้อีกต่อไป เพราะหลังจากพบโบโรครั้งนั้น เธอก็รู้สึกถึงวิญญาณร้ายที่ตามติดเธอไปทุกหนแห่ง รวมถึงภาพฝันของผีสาวไร้หน้าที่หลอกหลอนเธอทุกคืน และผู้คนรอบตัวเธอที่ต่างก็เจอชะตากรรมไม่โสภาเช่นเดียวกับเธอ
ซีรีส์มีจำนวน 8 ตอน และใช้ 2-3 ตอนแรกไปกับการปูเรื่องราวความต้องการของตัวเอกจนถึงเรื่องความแค้นที่ปะทุขึ้น และธรรมดาของซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ที่จะเริ่มสนุกและน่าติดตามสุด ๆ ก็ประมาณตอนที่ 4-5 ไปแล้ว แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่าผู้สร้างก็มีไม้เด็ดหลอกล่อผู้ชมให้สนใจเรื่องราวในตอนแรก ๆ ก่อนที่มนตร์ดำและความรุนแรงจะเริ่มทำงานได้อยู่หมัด เพราะตัวหนังสั้นของโนวาเองก็มีความลับบางอย่างที่ใครก็ตามได้ชมต่างต้องอุทานด้วยความตกใจ จนผู้ชมอย่างเราก็อยากรู้ไปด้วยว่าฉากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตัวซีรีส์ให้ความรู้สึกถึงการคารวะงานแนวสยองขวัญในยุค 90 ที่การรับรู้ความจริงบิดเบี้ยว โลกความจริงกับความรุนแรงเหนือโลกที่ผสมกันไปมาอย่างงงงวย แบบหนังของ เดวิด โครเนนเบิร์ก (David Cronenberg) รวมถึงคารวะหนังขาวดำที่น่าตื่นตะลึงในยุคสมัยที่เทคนิคพิเศษยังเป็นเรื่องน่างุนงงว่าผู้สร้างทำได้อย่างไร หรือสิ่งที่เห็นบนจอนั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ด้วย บางช่วงทำให้เรานึกถึงหนังของ ซัลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dalí) อยู่เหมือนกัน
แม้จะรู้สึกถึงแง่งามหลายอย่างที่เป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์ซีรีส์นี้ของผู้สร้าง นิก แอนทอสกา (Nick Antosca) และ เลนอเร ไซออน (Lenore Zion) ที่เคยร่วมกันสร้างงานซีรีส์สยองมีเอกลักษณ์อย่าง ‘Channel Zero’ มาแล้ว แต่กับเรื่องนี้มันก็ยังเห็นว่าหนังยังขาดความสม่ำเสมอของการเร้ากระตุ้นให้คนดูอยากติดตามต่อในแต่ละตอน เชื่อว่าอาจมีคนคิดลังเลถอดใจเป็นระยะ ยิ่งไปเจอฉากเมายาตลอด 1-2 ตอนยาว ๆ ด้วยแล้ว
และเมื่อดูจบ 8 ตอนก็ออกลูกก้ำกึ่งว่าอยากดูซีซันต่อไปไหมเช่นกัน แม้ว่าซีรีส์จะสร้างเซอร์ไพรส์ให้เราด้วยฉากรุนแรงเกินคาดเดาได้อยู่หมัดในจังหวะที่วางมาลงตัว (แม้เราจะคาดหวังให้มันรุนแรงได้มากกว่านี้ก็ตาม) การสร้างบทสนทนาที่ดี ๆ หลายฉากที่ทำให้ตัวละครมีมิติ รวมถึงการบูชาหนังยุคเก่าไปพร้อมกัน และการคลี่คลายตัวละครที่ไม่ค่อยเหมือนใคร
ทว่าในแง่เส้นแกนเรื่องหลักที่หนังเปลี่ยนแนวไป แถมยังทิ้งเชื้อความสงสัยให้อยากตามต่อเบาบางไปสักนิดด้วย แต่ก็คงน่าจะมีซีซัน 2 ให้ชมกันเพราะคะแนนรีวิวจากฝั่งตะวันตกคะแนนค่อนข้างดีทีเดียว ทว่าส่วนตัวแล้วเป็นคนหนึ่งที่ถ้าจะมีมาก็รอชมได้ แต่ถ้าไม่มาก็ไม่เสียดายอะไรนะ
พิสูจน์อักษร : สุขยา เกษจำรัส