ข่าวสุดช็อกนี้เกิดขึ้นในเมืองเซาท์โอ๊คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมาเอง เหตุเริ่มจากครอบครัวหนึ่งไปประมูลสินค้ามาได้ 1 ตู้คอนเทนเนอร์จากโกดังเก่าที่เปิดประมูลเพื่อต้องการโละของเก่า ในตู้คอนเทนเนอร์นั้นก็มีกระเป๋าเดินทางเก่ารวมอยู่ด้วยใบหนึ่ง ทั้งครอบครัวก็ขนข้าวของใส่รถกลับมาบ้านด้วยความเริงร่า แต่ของที่ขนกลับมานั้นมีจำนวนมากเกินกว่าจะขนเข้าบ้านได้หมดทีเดียว พวกเขาก็เลยวางข้าวของจำนวนหนึ่งทิ้งไว้ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ตรงจุดนี้ล่ะ ที่ทำให้กลายเป็นคดีขึ้นมา เมื่อกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงลอยโชยจากกระเป๋าเดินทาางใบนี้ ไปเตะจมูกเพื่อนบ้านเข้า ก็เลยโทรแจ้งตำรวจ
“ผมได้กลิ่นมาถึงนี่เลย ตอนแรกก็นึกว่ากลิ่นแมวตายหรืออะไรสักอย่าง”
เพื่อนบ้านผู้ไม่ขอเอ่ยนาม เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟัง ด้วยความที่เป็นสัปเหร่อเก่าก็เลยค่อนข้างคุ้นกับกลิ่นเน่าพวกนี้
“ผมแปลกใจนะ เขาขนข้าวของพวกนี้กลับมาแต่เขาไม่ได้กลิ่นกันเลยเนี่ยนะ”
เหตุการณ์นี้ทำให้ตำรวจต้องกลับไปค้นที่โกดังต้นเหตุ ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการรายงานมาว่าได้เจอศพกี่ร่าง บอกได้แค่เพียงว่ายังอยู่ในขั้นตอนการสืบสวน แต่ยืนยันได้ขณะนี้ว่า ครอบครัวที่ประมูลของไปนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีนี้
ตำรวจสืบสวนรายหนึ่งออกความเห็นกับผู้สื่อข่าวว่า เมืองนี้เป็นเมืองเล็กและมีประชากรไม่มา นั่นแปลว่ามีโอกาสสูงที่จะเจอตัวคนร้ายที่นำชิ้นส่วนมนุษย์มาใส่ในกระเป๋าเดินทางใบนี้
“ที่นี่เป็นเมืองเล็กครับ เรามีคดีฆาตกรรมที่ปิดไม่ได้น้อยมาก มีแค่ไม่กี่คดี คุณสามารถนับได้เลย ฉะนั้นผมเชื่อมั่นมาก ๆ “
แต่อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจก็เชื่อว่ากลุ่มคนที่ก่อเหตุนี้น่าจะหนีไปไกลแล้ว อาจจะหลบซ่อนอยู่ในเมืองไหนเมืองหนึ่งที่ไกลจากนี้ หรือหนีออกนอกประเทศไปแล้วก็ได้
“แต่คุณทิ้งร่องรอยไว้แบบนี้ เราคงได้โอกาสคุยโวล่ะ”
เมื่อวันจันทร์ที่ 15 สิงหาคมนี้ ตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้ได้แถลงกับสื่อเป็นทางการว่า
“คดีนี้ได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นอย่างมาก แต่ถึงขณะนี้ก็ยังมีอีกหลายเบาะแสที่ต้องสืบสวนต่อไป ถึงตอนนั้นทางเราจะให้ข้อมูลความคืบหน้าต่อไป”
ส่วนครอบครัวที่ไปประมูลกระเป๋าเดินทางมานั้น ตอนนี้ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นเป็นการชั่วคราวแล้ว เหตุเพราะต้องการหลบหนีจากความวุ่นวาย เพราะบ้านเขากำลังกลายเป็นที่จับตาจากผู้คน