Interview with a Vampire (1994) หนึ่งในหนังที่สร้างเสียงฮือฮาอย่างมากในวันที่ประกาศสร้าง เพราะได้ 2 ซูเปอร์สตาร์เบอร์ต้นของฮอลลีวูดมาร่วมจอกัน คือ ทอม ครูซ (Tom Cruise) และ แบรด พิตต์ (Brad Pitt) และนี่คือหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อดังของ แอน ไรซ์ แถมยังมีนักแสดงสมทบอย่าง แอนโทนิโอ แบนเดราส (Antonio Banderas) และ คริสเตียน สเลเตอร์ (Christian Slater) อีกด้วย และเป็นหนังที่แจ้งเกิดนักแสดงเด็กอย่าง เคิร์สเต็น ดันสต์ (Kirsten Dunst) หนังใช้ทุนสร้างไป 60 ล้านเหรียญ ซึ่งในยุค 90s ก็นับว่าค่อนข้างสูง และหนังก็ทำกำไรไปอย่างน่าพอใจ ด้วยตัวเลขจากการฉายทั่วโลก รับไป 224 ล้านเหรียญ
แม้ว่า Interview with a Vampire จะเป็นหนึ่งในผลงานที่ประสบความสำเร็จในช่วงต้น ๆ ของพิตต์ ก่อนจะถึงจุดพีคกับ Se7en และ Twelve Monkeys ในปี 1995 แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในช่วงที่ถ่ายทำ Interview with a Vampire พิตต์กลับมีแต่ความทรงจำที่เลวร้ายกับหนังเรื่องนี้
ในปี 2011 พิตต์ได้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Entertainment Weekly เป็นการพูดคุยถึงผลงานการแสดงเด่น ๆ ของเขาทีละเรื่อง พอมาถึงเรื่อง Interview with a Vampire พิตต์กลับมีสีหน้าที่เห็นได้ชัดว่าเขามีความทรงจำที่ไม่ดีนัก
“ผมกล้ำกลืนฝืนทนมาก กับระยะเวลา 6 เดือนที่ต้องอยู่ในความมืดโคตร ๆ “
หนังเริ่มต้นถ่ายทำกันใน นิวออร์ลีนส์ ก่อนจะยกกองถ่ายไปลอนดอนกัน ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูหนาวพอดี แล้วสถานที่ถ่ายทำก็หนาวจัด ซึ่งพิตต์บอกว่าแค่นี้ก็แย่พอแล้ว แต่เขายังต้องใส่คอนแทกต์เลนส์สีเหลืองตลอดการถ่ายทำอีกด้วย ต้องอดทนกับการทำผมอันยาวนาน และเมกอักที่หนาเตอะ
“เราไปถึงลอนดอนกัน แล้วลอนดอนวันนั้นแม่งมืดโคตร ๆ เพราะอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาวพอดี เราถ่ายทำกันในโรงถ่ายไพน์วูด ซึ่งมันเป็นสถาบันอันเก่าแก่เลยล่ะ หนัง เจมส์ บอนด์ ทุกภาคถ่ายกันที่นี่ แต่มันไม่มีหน้าต่างเลยไง มันเหมือนว่าพวกเราต้องมาอยู่ในสถานบำบัดกันยาวนานเป็นทศวรรษไรแบบนั้น คือเราต้องตื่นมากองถ่ายกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเลย แล้วก็ต้องมาอุดอู้กันอยู่ในสุสานแห่งนี้ พอเสร็จกองออกมาข้างนอกก็มืดแล้ว”
พิตต์เปรียบเปรยว่าการถ่ายทำ Interview with a Vampire นี่ มันทำให้เขาปวดใจมาก เมื่อเขาคิดว่าทำไมเขาต้องมาเผชิญกับวิบากกรรมแบบนี้
“ชีวิตมันก็สั้นอยู่แล้ว แล้วทำไมเราต้องมาใช้ชีวิตในสภาพแบบนี้กันอีก”
เมื่ออดรนจนถึงขีดสุดแล้ว พิตต์ตัดสินใจโทรหาเพื่อนของเขา เดวิด เกฟเฟน (David Geffen) เป็นผู้อำนวยการสร้างเรื่องนี้ด้วย พิตต์ปรึกษาเกฟเฟนว่าพอเป็นไปได้ไหม ถ้าเขาจะลาออกจากโปรเจกต์หนังเรื่องนี้กลางคัน
“ผมถามเดวิดว่า ‘เดวิด ผมทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมไม่สามารถถ่ายต่อได้แล้ว มันจะเสียหายกันสักเท่าไหร่ถ้าเอาผมออกจากเรื่องนี้ ? ‘ แล้วเขาก็ตอบแบบน้ำเสียงราบเรียบเลยว่า ’40 ล้านดอลลาร์’ “
พิตต์ก็เลยต้องจำใจตอบกลับไปว่า
“โอเค งั้นผมจะอดทนต่อไป ขอบคุณครับ” คำตอบนั้นมันเหมือนกับเอาความวิตกกังวลของผมออกไปได้ชะงัดเลย ผมก็คิดแบบว่า ‘ฉันต้องฮึดสู้แล้วผ่านพ้นมันไปให้ได้ แล้วผมก็ผ่านมันไปได้จริง ๆ “
แต่ปัญหากับสภาพอึดอัดในกองถ่ายกลับไม่ใช่เพียงแค่ปัญหาเดียวที่พิตต์ต้องเผชิญ เมื่อเขาพบว่าตัวละคร ลุยส์ เดอ ปวง เดอ ลัค (Louis de Pointe de Lac) นั้นเปลี่ยนไปจากหนังสือนิยายต้นฉบับ ในนิยายนั้น เขาเป็นแวมไพร์ตัวหลักในลุยส์เซียนา และเป็นคนที่ถูกสัมภาษณ์ ได้เปิดเผยเรื่องราวชีวิตที่โชกเลือดของเขา
บทภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็เป็นฝีมือของ แอน ไรซ์ เจ้าของบทประพันธ์มาลงมือเอง แถมยังเป็นการเขียนบทภาพยนตร์ครั้งแรกของไรซ์ด้วย พิตต์ได้อ่านบท ลุยส์ เดอ ปวง เดอ ลัค ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนการถ่ายทำ แล้วเขาก็พบว่าความน่าสนใจในตัวละคร ลุยส์ เดอ ปวง เดอ ลัค ได้อันตรธานไปหมดสิ้นแล้ว
“ในหนังนั้น เขาเทความสำคัญไปที่ เลสตาท บทของครูซ แล้วดันให้บทบาทของเขาเป็นหัวใจของหนัง คือมันก็ออกมาน่าสนุกและยอดเยี่ยมแหละ แต่สำหรับผมแล้ว บทของผมแทบไม่มีความจำเป็นอะไรเลย แค่นั่งนิ่ง ๆ แล้วก็มองไปรอบ ๆ “
นับจากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นระยะเวลาเกือบ 30 ปี ทั้ง แบรด พิตต์ และ ทอม ครูซ ต่างก็อยู่ในสถานะนักแสดงเบอร์ต้น ๆ ของฮอลลีวูด ชื่อของพวกเขาสามารถเรียกความสนใจผู้ชมได้เป็นอย่างดี แต่พิตต์กับครูซก็ยังไม่มีโอกาสได้มาร่วมงานกันอีกเลย
“คือคุณต้องเข้าใจนะ ทอมกับผมต่างก็เดินไปคนละทิศทาง เขานั่นไปขั้วโลกเหนือเลย ส่วนผมนั้นอยู่ทางใต้”
“แต่ผมบอกคุณได้อย่างหนึ่งนะว่า เขาต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายเยอะมาก เพราะว่าเขาอยู่ในจุดสูงสุดแล้ว เขาเป็นทั้งนักแสดงที่ดี และมีความเชี่ยวชาญในเรื่องภาพยนตร์ แล้วเขาก็ทำมันให้เห็นจริง ๆ ผมบอกเลยว่าคุณควรจะชื่นชมเขาในเรื่องนี้”
สำหรับแฟน ๆ ของ แบรด พิตต์ หลังจาก Bullet Train ที่เพิ่งลาโรงไป ก็เตรียมพบกับโปรเจกต์ยักษ์ Babylon ของผู้กำกับ แดเมียน ชาเซลล์ ที่เราจะได้เห็น พิตต์ประกบคู่กับ มาร์โกต์ ร็อบบี้ มีกำหนดฉายคริสต์มาสนี้