เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อกรกฎาคม 2022 ครับ แต่เป็นวีรกรรมน่าสรรเสริญมาก จนต้องขอหยิบมาเล่าต่อ เพราะสังคมต้องการคนเช่นนี้มาก ๆ และสมควรได้รับการยกย่อง วีรบุรุษผู้นี้มีนามว่า นิโคลาส บอสทิก (Nicholas Bostic) วัย 25 ปี เขาเป็นพนักงานส่งพิซซ่า ในเมืองลาฟาแยต รัฐอินดีแอนา สหรัฐอเมริกา เหตุเกิดในคืนวันที่ 11 กรกฎาคม เวลาประมาณเที่ยงคืน บอสทิกกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ไปเติมน้ำมัน ระหว่างทางเขาผ่านบ้านหลังหนึ่ง กำลังมีไฟลุกท่วม ด้วยเจตนาดี บอสทิคก็จะหยิบโทรศัพท์มาแจ้ง 911 แต่แล้วเขาก็นึกได้ว่า ‘ลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้าน’ ด้วยจิตใต้สำนึกของพลเมืองดี บอสทิกไม่สามารถขับผ่านไปได้ เขาตัดสินใจพุ่งตัวฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุ

นิโคลาส บอสทิก ขณะพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

บอสทิกพบว่าประตูหน้าบ้านล็อกไว้ เขาจึงวิ่งอ้อมไปด้านหลังบ้าน แล้วพบว่าประตูหลังบ้านไม่ได้ล็อก เมื่อเข้าไปในบ้านได้ บอสทิกเล่าว่าภายในบ้านเต็มไปด้วยควันหนามาก จนเขามองอะไรไม่เห็นเลย เขาตัดสินใจตะโกนเสียงดังบอกว่าบ้านไฟไหม้ เพราะคิดว่าคนในบ้านอาจจะหลับอยู่ แต่ก็ไม่มีเสียงขานตอบกลับมา ตอนนั้นบอสทิกคาดว่าคนในบ้านอาจจะรู้ตัวแล้วหนีออกไปนอกบ้านหมดแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะกลับออกไป ทันใดนั้นเองที่เขาเหลือบขึ้นไปมองบนชั้นสองของบ้าน แล้วก็เห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของเด็กโตคนหนึ่งกำลังต้อนเด็กที่เล็กกว่ากลุ่มหนึ่ง เด็กโตที่บอสทิกเห็นนั้นคือ เซียนนา บาร์เร็ตต์ วัย 18 ปี ที่ทำหน้าที่ดูแลน้องสาว 3 คนของเธอ และเพื่อนของน้องสาวอีกคนหนึ่ง ในขณะที่พ่อแม่ออกไปนั่งดื่มที่บาร์ใกล้บ้าน

ไม่ทันได้ยั้งคิด บอสทิกรีบพุ่งตัวขึ้นไปหากลุ่มเด็ก ๆ ที่ชั้นสองทันที พอถึงตัวเด็ก ๆ บอสทิกก็รีบโอบตัวกันเด็ก ๆ ไว้และนำทางทั้งสี่คนฝ่าเปลวเพลิงที่กำลังโหมรุนแรงออกมาภายนอกบ้านได้ ในกลุ่มที่บอสทิกช่วยออกมานั้นมี เซียนนาพี่สาวคนโต เชย์ลีวัย 13 ปี ลิเวียนวัย 13 ปีเพื่อนของเชย์ลี และ เคเลีย หนูน้อยวัยแค่ขวบเดียว ทั้ง 4 คนที่บอสทิกพาตัวออกมานั้นปลอดภัยดี แต่ตัวบอสทิกสิ ทั้งดวงตาและปอดของเขาร้อนผ่าวไปหมด เพราะฤทธิ์จากเพลิงที่ร้อนแรง แต่เซียนนาก็ไม่ปล่อยให้บอสทิกโล่งใจได้นาน เมื่อเธอบอกกับเขาว่า เคลานี น้องสาวอีกคนวัย 6 ขวบ ยังติดอยู่ภายในบ้าน

นิโคลาส บอสทิก กับครอบครัวบาร์เร็ตต์

ได้ฟังดังนั้น บอสทิกก็ไม่ใช้เวลาใคร่ครวญเลย เขาวิ่งกลับเข้าบ้านทันทีแม้ว่าเพลิงจะทวีความรุนแรงมากขึ้นก็ตาม ตอนนั้นบอสทิกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนูน้อยอีกคนอยู่ที่บริเวณใดในบ้าน แต่เขาก็เลือกวิ่งกลับไปที่ชั้นสอง บริเวณที่เขาพบหนูน้อยทั้งสี่ในรอบแรก เขาวิ่งเข้าไปหาหนูน้อยทีละห้อง ก้มดูใต้เตียง เปิดตู้เสื้อผ้าดู แต่ก็ไม่พบตัวหนูน้อยแต่อย่างใด บอสทิกจึงตัดสินใจจะกลับลงมาชั้นล่าง แต่เมื่อเขามาถึงบันไดแล้วมองลงไป ภาพที่เห็นคือกลุ่มควันมืดดำปกคลุมชั้นล่างไปหมดแล้ว บอสทิกบรรยายว่ามันดูเหมือน ‘บึงที่เต็มไปด้วยน้ำสีดำสนิท’ เขาบอกกับตัวเองว่าเป็นไปไมได้แล้วที่จะกลับออกไปทางนี้ บอสทิกจึงตัดสินใจว่าเขาจะออกไปทางหน้าต่างชั้นสอง วินาทีนั้นล่ะที่เขาได้ยินเสียงร้องไห้ของหนูน้อยดังมาจากชั้นล่าง นั่นแปลว่าเขาจะต้องฝ่ากลุ่มควันดำมืดลงไป บอสทิกรำพึงกับตัว เขาไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ แต่เขาคือโอกาสรอดเพียงทางเดียวของหนูน้อย

คิดได้ดังนั้น บอสทิกก็ถอดเสื้อเชิ้ตของเขามาปิดปากและจมูกแล้ววิ่งฝ่าม่านควันลงไปชั้นล่าง ควันหนามึบจนเขามองอะไรไม่เห็นแล้วแม้แต่น้อย แถมยังสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุของเปลวไฟที่ใกล้มาก บอสทิกบอกว่ามันร้อนอย่างกับว่าเขากำลังอยู่ในเตาอบอย่างนั้นเลย บอสทิกตัดสินใจทิ้งตัวลงบนพื้นแล้วคลานไปตามทาง ใช้มือแทนสายตาคลำทางไปตามทิศที่เขาได้ยินเสียงของหนูน้อย พอเจอตัวเคลานีเขาก็โอบกอดหนูน้อยไว้ แล้วรีบกลับขึ้นมาชั้นสอง ตอนนี้ควันหนาจนเขามองอะไรไม่เห็นแล้ว บอสทิกกวาดสายตาไปรอบ ๆ พลันเขามองเห็นแสงไฟจากภายนอกส่องผ่านหน้าต่างบานหนึ่งบนชั้นสองเข้ามาท่ามกลางม่านควัน บอสทิกรีบพุ่งตัวไปยังหน้าต่างบานนั้น ใช้แขนกระแทกกระจกหน้าต่างจนแตกออก ขณะที่กำลังจะพุ่งออกไปนอกหน้าต่าง ขาของหนูน้อยก็ดันไปพันเข้ากลับสายรูดม่านเข้าอีก เขาจำต้องสงบสติอารมณ์รวบรวมสมาธิแล้วค่อย ๆ แก้เชือกที่พันขาของหนูน้อยออก จากนั้นก็เอาหนูน้อยมากอดไว้ที่แขนซ้าย พุ่งร่างลงไปเบื้องล่างโดยเอาตัวด้านขวาลง เพื่อให้ร่างตัวเองรับแรงกระแทก

สภาพบ้านของครอบครัวบาร์เร็ตต์ หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้

พอออกจากบ้านมาได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ดับเพลิงก็กรูกันเข้ามาดูแลเขาและหนูน้อยเคลีนา เขารีบบอกกับเจ้าหน้าที่
“ผมต้องการออกซิเจน ผมหายใจไม่ออก”
“หนูน้อยโอเคไหม บอกผมหน่อยสิว่าหนูน้อยปลอดภัยดีไหม ? “
สภาพของบอสทิกขณะนั้น อาการค่อนข้างสาหัส เขาสูดควันดำเข้าไปปริมาณมาก ร่างกายภายนอกมีบาดแผลเผาไหม้หลายแห่ง หนักสุดคือแขนขวาที่ถูกกระจกบาดยาว ขณะที่ใช้แขนกระแทกกระจกหน้าต่างให้แตกออก แต่เขาก็ยังห่วงหนูน้อยและถามถึงหนูน้อยไม่หยุดปาก เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรีบตอบกลับบอสทิกว่าหนูน้อยโอเคดี มีรอยบาดเล็กน้อยที่เท้า

Play video

เดวิด และ เทียรา บาร์เร็ต พ่อแม่ของสาวน้อยทั้งสี่รีบรุดกลับมาบ้านทันที หลังเซียนนาโทรบอกพ่อกับแม่ว่าบ้านเกิดเหตุเพลิงไหม้ เซียนนาและน้อง ๆ ทั้ง 3 ที่บอสทิกช่วยออกมาได้รอบแรกปลอดภัยดีทุกคน มีเพียงเคลานีน้องสาวที่บอสทิกช่วยออกมาภายหลังนั้น มีอาการตื่นตกใจ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงต้องเร่งให้การดูแล
“เรารู้สึกเหมือนได้รับพรจากพระเจ้าจริง ๆ กับสิ่งที่นิคทำ เขาเป็นวีรบุรุษตัวจริง ผมไม่อยากนึกจริง ๆ ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้านิคไม่บังเอิญผ่านมา ผมซาบซึ้งเกินที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้หมด”
เดวิด บาร์เร็ต กล่าวกับผู้สื่อข่าว

นาทีที่บอสทิกอุ้มหนูน้อยวิ่งออกมาจากบ้าน

หลังวีรกรรมของนิคได้ถูกเผยแพร่ออกไป ทั้งชาวบ้านและผู้คนในโลกโซเชียลต่างก็สรรเสริญความกล้าหาญของเขา มีการเปิดกองทุนรับบริจาคในชื่อ “Our Hero Nick” บนเฟซบุ๊กเพจ เพื่อค่ารักษาพยาบาลให้กับบอสทิก และเปิดแคมเปญรับบริจาคบนเว็บ GoFundme เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ก็มียอดบริจาคเข้ามามากกว่า 350,000 เหรียญ ประมาณ 11 ล้านบาท

ทางตัวแทนตำรวจก็ออกมาชื่นชมในความกล้าหาญของบอสทิก “เราประทับใจอย่างมากในความกล้าหาญ ความแน่วแน่ ความมุ่งมั่นในตัวเขา”
หลังออกจากโรงพยาบาล บอสทิกก็แวะไปเยี่ยมเยียนครอบครัวบาร์เร็ตต์ที่เขาได้ช่วยเหลือไว้ ตั้งแต่นั้นบอสทิกและครอบครัวบาร์เร็ตต์ก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น
“เราไปโบสถ์ด้วยกันบ่อย ๆ ครับ ทุกสัปดาห์เลยนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น”

บอสทิกทิ้งท้ายไว้ว่า
“ถ้าผมต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้อีกครั้ง ผมก็จะทำเช่นเดิม ผมรู้ว่าผมต้องเสี่ยงชีวิตอย่างมาก ผมรู้ว่าวินาทีต่อไปผมอาจจบชีวิตตัวเองก็ได้ แต่ทุกวินาทีนั้นมีความหมายมาก”

ที่มา ที่มา ที่มา