ภาคต่อหนังไซไฟมหากาพย์ ‘Dune: Part Two’ โดยผู้กำกับ เดอนี วีลเนิฟ (Denis Villeneuve) ที่กำลังฉายอยู่ตอนนี้ กำลังไปได้สวยด้วยคำวิจารณ์ในทางบวกและกำลังทำรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ณ ตอนนี้ ตัวหนังทำรายได้ Box Office ทั่วโลกไปกว่า 211 ล้านเหรียญแล้ว และก็มีแนวโน้มว่าจะยังคงทำรายได้ต่อไปอีกด้วยกระแสที่เรียกได้ว่ามาแรง ส่วนหนึ่งก็มาจากยอดจำนวนผู้ชมที่ยอมซื้อตั๋วในระบบ IMAX ที่มียอดจองตั๋วแทบจะเต็มทุกที่นั่ง
แต่เมื่อ 6 สัปดาห์ก่อนที่หนังจะเข้าฉายในรอบปฐมทัศน์ และเข้าฉายในโรงหนังทั่วโลก หนังเรื่องนี้เคยถูกฉายในจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คให้กับผู้ชมคนหนึ่งได้ชมก่อน ซึ่งเป็นความปรารถนาสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากโลกนี้ไปในอีกไม่กี่วันถัดมา
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อประมาณเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่ศูนย์ดูแลแบบประคับประคองแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในภูมิภาค ซากูเนย์-ลัก-แซ็งต์-ฌ็อง (Saguenay–Lac-Saint-Jean) ทางตอนเหนือของรัฐควิเบก ประเทศแคนาดา ศูนย์แห่งนี้รับดูแลชายวัยกลางคนอายุประมาณ 50 ปีคนหนึ่งที่กำลังป่วยเข้าสู่ระยะสุดท้าย และด้วยความที่เขาเองเป็นคนที่ชื่นชอบในการดูหนังอยู่แล้ว และเขาเองก็มีความปรารถนาสุดท้ายคือต้องการอยากจะดู ‘Dune: Part Two’ ที่เข้าฉายเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากโลกนี้ไป
เขาได้บอกความปรารถนานี้กับ โฆเซ แกญง (Josée Gagnon) พนักงานผู้ดูแลชายคนดังกล่าว และผู้ก่อตั้งองค์กรการกุศลที่ชื่อว่า ลาวองต์ (L’Avant) เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้ได้ตระหนักถึงความฝันของตัวเองในบั้นปลายชีวิต ได้เล่าเรื่องนี้ให้กับสื่อเป็นครั้งแรกหลังจากที่หนังเข้าฉาย ซึ่งเธอได้ปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้วายชนม์เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว
แน่นอนว่าภารกิจความปรารถนาครั้งสุดท้ายนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะการนำภาพยนตร์มาฉายให้กับผู้ชมก่อนใครในโลกนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก และที่ยากยิ่งกว่าคือพวกเขาต้องแข่งกับเวลาที่มี เพราะไม่รู้ว่าชายคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าไร
แกญงเริ่มต้นโทรหาใครก็ตามที่น่าจะสามารถติดต่อไปถึงผู้กำกับได้ รวมทั้งโพสต์ข้อความลงบน Facebook เพื่อติดต่อขอให้นำหนังมาฉายให้กับชายคนนี้ให้ได้อย่างเร่งด่วน ส่วนหนึ่งของโพสต์ดังกล่าวระบุว่า “ฉันอยากจะสร้างเวทมนตร์ให้กับคน ๆ หนึ่งในช่วงบั้นปลายชีวิตของพวกเขา” ในขณะที่ชายคนดังกล่าวมีเวลาเหลืออยู่อีกเพียงไม่กี่สัปดาห์
“ฉันคิดกับตัวเองว่า เราจะทำอะไรได้บ้าง ? แล้วจากนั้นสามีของฉันก็บอกฉันว่าเราสามารถจะทำอะไรก็ได้ จากนั้น ฉันจึงโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดีย และเราก็ได้ติดต่อกับทีมงานของวีลเนิฟได้ภายใน 12 ชั่วโมง”
ในที่สุดคำขอดังกล่าวก็ไปถึงผู้กำกับได้ในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของ เซบาสเตียง ปิล็อต (Sébastien Pilote) โปรดิวเซอร์หนังชาวควิเบก ที่ได้ติดต่อไปยัง แทนยา ลาปอยต์ (Tanya Lapointe) โปรดิวเซอร์ ‘Dune: Part Two’ และภรรยาของวีลเนิฟ ที่ประทับใจในความปรารถนาครั้งสุดท้ายของผู้ป่วยรายนี้ ในทีแรก ลาปอยต์ต้องการให้ผู้ป่วยเดินทางด้วยเครื่องบินมาชมที่ลอสแองเจลิส หรือไม่ก็บินไปชมรอบปฐมทัศน์ที่กำลังจะจัดขึ้นที่เมืองมอนทรีออล แต่นั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่กำลังอ่อนแรงลงทุกที
แกญงได้เล่าเปิดเผยช่วงเวลานั้นว่า “ตอนนั้นฉันบอกไปว่า ‘คุณไม่เข้าใจน่ะ ตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ปลายทางแล้ว ไม่มีทางเลยที่จะย้ายเขาไปได้ได้ เพราะว่าต้องแข่งขันกับเวลา และเขาก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น'”
16 มกราคม ผู้ช่วยของวีลเนิฟ พร้อมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของผู้กำกับ ได้เดินทางไปยังศูนย์ดูแลแบบประคับประคองแห่งนี้ ซึ่งอยู่ห่างจากควิเบกไปทางเหนือประมาณ 209 กิโลเมตร และด้วยความที่ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ไฟล์หนังเรื่องนี้จึงต้องใส่คำบรรยายภาษาฝรั่งเศสลงไปด้วย
แกญงเล่าถึงวันนั้นว่า “มันเป็นการแข่งขันกับเวลา เพราะวันแล้ววันเล่า เราไม่รู้ว่าเขาจะทำได้ไหม เขาเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น” เธอถึงกับเปิดเผยว่า เขาอ่อนแอมากจนเธอกลัวว่าเขาอาจจะจากไปในระหว่างชมภาพยนตร์เลยด้วยซ้ำ
และด้วยความที่นี่จะเป็นการฉายหนังในสาธารณะเป็นครั้งแรก ๆ ก่อนจะเข้าฉายจริง ผู้ช่วยของวีลเนิฟได้จัดการให้ทุกคนลงนามใน Embargo หรือหนังสือสัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล และได้ให้ผู้ป่วยเลือกคนที่จะดูหนังด้วยพร้อมกันได้ 1 คน ซึ่งเขาเลือกผู้ดูแลคนหนึ่งของศูนย์เป็นผู้ชม
“เธอ (ผู้ช่วย) หยิบโทรศัพท์ของทุกคนออกไป แล้วเปิดภาพยนตร์บนโน้ตบุ๊กให้คน 2 คนที่อยู่ในห้องของเขาได้ชม ทั้งเธอและฉันไม่ได้ดูเลย มันเป็นเรื่องใหญ่มาก ๆ ฉันได้ยินมาว่า แม้แต่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็ไม่มีโอกาสได้ดูมันก่อนที่จะออกฉาย” แกญงเล่าติดตลกเล็ก ๆ
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีโอกาสได้ชม แต่ด้วยความยาวหนังที่ยาวมากพอสมควร ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถชมต่อได้จนจบ “มันเป็นหนังยาว 3 ชั่วโมงน่ะค่ะ เขาเลยไม่มีแรงที่จะดูหนังได้จนจบเรื่อง แต่จากสิ่งที่เขาได้ดูไป เขาชื่นชอบมันมาก ๆ”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นได้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายจริง ๆ ก่อนจะเสียชีวิตในอีก 2-3 วันต่อมาในเดือนมกราคม แกญงเล่าว่า เธอได้รับถ้อยความจากวีลเนิฟ และทีมงานของเขาที่ส่งต่อมาถึงผู้วายชนม์ “พวกเขาบอกกับฉันว่า ‘เราทำหนังมาเพื่อสำหรับเขาจริง ๆ ‘” แกญงเล่าเสริม
ภายหลังจากเหตุการณ์นั้น แกญงได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อของแคนาดาว่า มีผู้ที่เกี่ยวข้องบางคนมองว่าเหตุการณ์นี้ถือเป็นความล้มเหลว เพราะผู้วายชนม์ไม่มีโอกาสได้ชมตอนจบของหนังเรื่องนี้เลย แต่เธอกลับมองต่างออกไป
ฉันบอกว่า 'คุณน่ะไม่เข้าใจ การจบของหนังตอนที่คุณกำลังจะตาย มันไม่ได้มีความหมายอะไร แต่มันเป็นเรื่องพิเศษที่ชายคนนี้ได้เจอต่างหาก' ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นก็เพื่อเขา ชายคนนี้เริ่มต้นชีวิตอย่างยากลำบากมาก การได้เห็นผู้คนรอบตัว และคนที่ไม่แม้แต่รู้จักเขา ได้ทำตามความปรารถนาครั้งสุดท้ายของเขา มันมีค่ายิ่งกว่าทองคำทั้งหมดในโลกนี้เสียอีกนะ
แกญงกล่าวทิ้งท้ายว่า เธอเองยังไม่ได้มีโอกาสชม ‘Dune: Part Two’ เลย แต่เธอก็มีแผนว่าจะหาเวลาไปดูในเร็ว ๆ นี้ และแน่นอนว่าเธอจะยังคิดถึงเรื่องราวที่สวยงามนี้ไปตลอด “ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเรื่องราวนี้ ฉันจะยิ้มเหมือนคนบ้าตลอดเลย… ฉันคิดถึงเขามาก ๆ ค่ะ”