ปีนี้ถือเป็นอีกปีทองของ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (Aaron Taylor-Johnson) นักแสดงหนุ่มสายแอ็กชันชาวอังกฤษวัย 33 ปี ที่โด่งดังจากการรับบทแนวแอ็กชันเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่ ‘Kick Ass’ ทั้ง 2 ภาค , ‘Tenet’ (2020), ‘Bullet Train’ (2022) รวมทั้งการรับบทเป็น จอห์น เลนนอน (John Lennon) วัยหนุ่มน้อย ใน ‘Nowhere Boy’ (2009)
และบทบาท ปิเอโตร แม็กซิมอฟฟ์ (Pietro Maximoff) หรือ ควิกซิลเวอร์ (Quicksilver) แห่งจักรวาล MCU แล้ว เขายังกลายมาเป็นอีก 1 ตัวเต็งในการรับบทเป็น เจมส์ บอนด์ (James Bond) คนต่อไป ที่แม้ว่าเขาจะออกมาสยบข่าวลือแล้ว แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธเสียทีเดียว ซึ่งก็แปลว่ายังพอมีลุ้นได้เห็น เจมส์ บอนด์ เวอร์ชันหนุ่มแน่นที่แฝงความเป็นแอ็กชันฮีโรในอนาคตก็เป็นได้
และถ้าใครที่ติดตามผลงานของเขามาตั้งแต่แรก ๆ ก็จะพอทราบว่า ตอนนี้เขามีครอบครัวที่อบอุ่นกับลูกสาว 2 คน และภรรยา แซม เทย์เลอร์-จอห์นสัน (Sam Taylor-Johnson) ผู้กำกับภาพยนตร์ ‘Nowhere Boy’ และ ‘Fifty Shades of Grey’ (2015) ซึ่งหลายคนต่างก็ต้องแปลกใจในความห่างระหว่างอายุของทั้งคู่ เนื่องจากในปัจจุบันนี้ แซมมีอายุ 57 ปีแล้ว ทำให้อายุของเธอมากกว่าสามีถึง 24 ปี ซึ่งก็ทำให้หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่ห่างกันมากกว่าคู่รักทั่ว ๆ ไปโดยเฉลี่ย แถมทั้งคู่ยังเจอกันตอนที่แอรอนอายุยังไม่ถึง 20 ปีดีด้วยซ้ำ
ในการสัมภาษณ์ล่าสุดกับ นิตยสาร Rolling Stone UK ฉบับล่าสุดที่ได้เขาเป็นนายแบบหน้าปก นอกจากเขาจะแบ่งรับแบ่งสู่เกี่ยวกับกระแสข่าวการรับบทเป็นเจมส์ บอนด์ เขายังได้พูดถึงความตกอกตกใจ กระแสวิจารณ์ที่มีต่อเขาและภรรยาที่มีอายุแตกต่างกัน รวมทั้งการพัฒนาความสัมพันธ์ที่หลายคนมองว่าค่อนข้างรวดเร็ว ในขณะที่เขากลับมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาเท่านั้น
“ผมเป็นคนที่ทำอะไรบางอย่างรวดเร็วเกินไปสำหรับคนอื่นอย่างนั้นน่ะเหรอครับ ? ผมไม่เข้าใจในเรื่องนั้นเลย การที่ผมจะใช้ชีวิตมันจะต้องใช้ความเร็วระดับไหนเหรอ ? คือสำหรับผมมันเป็นอะไรที่ประหลาดนะ”
แอรอนพบกับผู้กำกับภาพยนตร์ แซม เทย์เลอร์-วูด (Sam Taylor-Wood) เป็นครั้งแรกในช่วงปี 2008 ในระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘Nowhere Boy’ แอรอนในตอนนั้นอายุ 19 ปี ส่วนแซมในตอนนั้นอายุ 42 ปีและเป็นซิงเกิลมัมของลูกสาวทั้ง 2 คนหลังจากหย่ากับสามีคนแรกในปีเดียวกัน
ทั้งสองเริ่มคบหากัน ก่อนจะแต่งงานกันในปี 2012 ทั้งคู่เป็นพ่อและแม่ของลูกสาว 2 คน ได้แก่ วิลดา แร (Wylda Rae) ที่เกิดในปี 2010 และ โรมี ฮีโร (Romy Hero) ที่ลืมตาดูโลกในปี 2012 รวมทั้งแซมยังเป็นแม่ของ แอนเจลิกา (Anjelica) และ ฟีนิกซ์ (Phoenix) ลูกสาว 2 คนแรกที่ติดมาจากแซมกับสามีคนแรกด้วย
ด้วยอายุที่ห่างกันมากกว่าปกติ และความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างรวดเร็วในช่วงเริ่มแรก ทำให้สาธารณชนต่างวิพากษ์วิจารณ์ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แอรอนอธิบายชีวิต การงาน และความรักที่เขามีต่อครอบครัวของเขาไว้แบบสั้น ๆ ว่า “สิ่งที่คุณต้องตระหนักก็คือ อะไรที่คนส่วนใหญ่ต้องทำในวัย 20 ปี ผมได้ทำมันมาหมดแล้วตั้งแต่อายุ 13 ปี”
แอรอนเคยเปิดเผยความรู้สึกที่เขามีต่อภรรยากับ The Telegraph ว่า “ผมรู้ได้ทันทีว่าผมอยากใช้ชีวิตที่เหลือกับคน ๆ นี้ ผมจำมันได้แม่นเลย และ 1 ปีนับจากที่ผมได้พบเธอและขอแต่งงาน ผมรู้ว่าผมต้องการเธอกับครอบครัว ผมรู้ว่าผมต้องการลูก และอีก 1 เดือนต่อมา เธอก็ตั้งท้องลูกคนแรกของเรา”
ด้วยอาชีพนักแสดงที่ผลักให้เขาเติบโตอย่างรวดเร็ว นั่นจึงทำให้เขาไม่เคยรู้สึกถึงความแตกต่างด้านอายุ “ผมเป็นคนที่ทำงานในสภาพแวดล้อมของผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย ผมเติบโตอย่างรวดเร็วมาก ผมออกจากโรงเรียนตอนอายุ 15 ปี ผมได้รับการเรียนรู้ที่แตกต่างจากลูก ๆ อย่างสิ้นเชิง ตอนที่ผมได้พบกับแซม ผมใช้ชีวิตเกินกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันส่วนใหญ่ ผมไม่รู้จักกับใครที่อายุเท่า ๆ กับผมเลย ผมแค่รู้สึกว่าเราอยู่ในความถี่เดียวกัน”
และนั่นก็ทำให้ทั้งคู่เลือกที่จะเมินเฉยความสัมพันธ์ที่หลายคนมองว่าแปลกประหลาด “ทั้งหมดนั่นคือชีวิตส่วนตัวของผม มันศักดิ์สิทธิ์และสวยงามมากสำหรับผม แต่คนที่มองมันในแง่ลบก็มีเยอะ และนั่นก็คือปัญหาของเขา และสิ่งที่พวกเขารับรู้เกี่ยวกับชีวิต ในขณะที่ผมพยายามเปิดใจให้มากที่สุด ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และได้ทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณจากหัวใจของผมแล้ว”
แอรอนเคยกล่าวถึงความรู้สึกของเขาเกี่ยวกับสายตาของสาธารณชนต่อเรื่องนี้แบบตรงไปตรงมากับนิตยสาร New York “ความสนใจเหล่านั้นเป็นสิ่งที่รบกวนผม แต่การต้องรับมือกับเรื่องนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในอาชีพการงานของผม อาจทำให้ผมมาถึงจุดที่ผมหลุดออกจากวงการเร็วกว่านี้ได้เลย แค่อยากจะตัดหัวใครสักคนที่เอาแต่ถามคำถามที่ผมไม่ชอบ แทนที่จะพูดคำว่า ‘โอ๊ย ช่างแม่-เหอะ'”
“ผมคงไม่สามารถเป็น เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence) หรือ ทอม ครูซ (Tom Cruise) ที่สามารถแสดงหนังและต้องคอยรักษาภาพลักษณ์ไปด้วย ผมไม่มีอย่างที่พวกเขามีหรอก แต่อย่างน้อย ตอนนี้ผมก็สบายในแล้วที่ได้เป็นตัวของตัวเอง”