ณ ตอนนี้เราอาจไม่ค่อยได้เห็นพี่หิน ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) ในบทบาทการแสดงสักเท่าไหร่นัก ผลงานล่าสุดจริง ๆ ที่เราได้เห็นเขาบนจอใหญ่ก็คือ การปรากฏตัวอีกครั้งในบทบาท ลุค ฮอบส์ (Luke Hobbs) ใน End-Credit ใน ‘Fast X’ (2023) ในขณะที่ตอนนี้เรามักจะได้เห็นจอห์นสัน วัย 51 ปี หวนกลับไปสวมบทบาท เดอะร็อก (The Rock) ขึ้นสังเวียนมวยปล้ำของสถาบัน WWE ให้แฟน ๆ ได้หายคิดถึง (?) รวมทั้งในบทบาทการเป็น 1 ในบอร์ดบริหารของ ทีเคโอ กรุ๊ป โฮลดิงส์ (TKO Group Holdings) บริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขันมวยปล้ำ WWE
ในอีกด้านหนึ่งที่เราอาจไม่ได้เห็นเขาออกมาสื่อสารบ่อย ๆ ก็คือ บทบาทด้านการเมือง ที่ใคร ๆ ก็ย่อมรู้ว่าเขาเองนั้นเชียร์พรรคเดโมแครต (Democratic Party) มาโดยตลอด ปี 2009 เขาเคยประกาศสนับสนุนและลงคะแนนให้ บารัก โอบามา (Barack Obama) จนได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 44 ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย และในปี 2020 เขายังประกาศว่าจะสนับสนุน โจ ไบเดน (Joe Biden) จนในที่สุดก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนที่ 46 และคนปัจจุบัน ที่ดำรงตำแหน่งมาเป็นระยะเวลา 3 ปี และกำลังจะครบวาระในปีนี้
แต่ดูเหมือนว่าด้วยทิศทางและมุมมองทางการเมืองในปัจจุบันของแอ็กชันซูเปอร์สตาร์ล่ำบึ้กรายนี้จะเปลี่ยนไปเป็นสาย ‘กลาง ๆ ‘ แทน เพราะในระหว่างที่เขาให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘Will Cain Show’ ของช่อง Fox News โดยเขาได้เปิดเผยว่า ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ เขาเลือกที่จะไม่เปิดเผยว่าจะสนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งคนใดหรือพรรคไหนอีกเหมือนเช่นในอดีต นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยด้วยว่า เขาเองรู้สึกผิดหวังที่เคยประกาศสนับสนุนให้ไบเดนเป็นประธานาธิบดี เพราะมันนำมาซึ่งความแตกแยกที่เกิดขึ้นจากการก้าวเข้าสู่พรมแดนทางการเมือง และพร้อมจะสนับสนุนใครก็ตามที่ประชาชนอเมริกันเลือกเข้ามาเป็นประธานาธิบดีแบบเต็ม 100%
“ตอนนี้ผมพอใจกับสหรัฐอเมริกาแล้วหรือยัง คำตอบก็คือยังครับ และถ้าถามว่าผมเชื่อไหมว่ามันจะดีขึ้นได้ ผมผมเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี ผมเลยเชื่อว่าเราจะดีขึ้นได้ การรับรองกับไบเดนที่ผมทำเมื่อหลายปีก่อน มันเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดกับตัวผมในเวลานั้น ผมคิดว่าตัวผมเองยืนอยู่ในจุดที่มีอิทธิพลอยู่บ้าง และผมรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของผมที่ต้องใช้อิทธิพลของผมในการชี้นำว่า ‘นี่แหละคือคนที่ผมจะสนับสนุน'”
“ตอนนั้นผมเป็นผู้ชายที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก แต่ทุกวันนี้ ผมตระหนักได้แล้วว่า ผมไม่ควรทำแบบนั้น ผมเองซาบซึ้งในสิ่งเหล่านั้นครับ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันทำให้ผมรู้สึกเสียใจ ซึ่งนั่นก็คือการทำให้เกิดความแตกแยก ตอนนั้นผมไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนั้นเลย ผมแค่รู้สึกว่ามันมีความไม่สงบเกิดขึ้นมากมาย และผมก็อยากให้ทุกอย่างมันสงบลงเสียที”
“หลังจากผ่านไปหลาย ๆ เดือน ผมก็เริ่มตระหนักได้ว่า ‘โอ้ นี่มันทำให้เกิดความแตกแยกในประเทศของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยนะ’ ผมรู้ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก เป้าหมายของผมก็คือการรวมให้แผ่นดินนี้เป็นปึกแผ่น ผมเชื่อสิ่งนั้นในระดับ DNA และในจิตวิญญาณ ผมจึงไม่สนับสนุนใครอีก และด้วยอิทธิพลในระดับนี้ ผมขอเลือกที่จะเก็บเรื่องการเมืองไว้กับตัวเอง ไว้ให้เป็นเรื่องของผมกับหีบบัตรเลือกตั้งแค่นั้นก็พอ”
“แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ ผมก็เหมือนกับพวกเราทุกคนที่ไม่ไว้วางใจในนักการเมืองทุกคน แต่ผมไว้วางใจในคนอเมริกันนะครับ และใครก็ตามที่พวกเขาเลือกให้ เขาคนนั้นก็คือประธานาธิบดีคนที่ผมจะสนับสนุนเขาเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์”
จอห์นสันยังได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความแตกแยกของชาวอเมริกันในปัจจุบัน ซึ่งส่วนหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเกิดจากวัฒนธรรมการตื่นรู้ (Woke Culture), วัฒนธรรมการคว่ำบาตร หรือแบนคนที่มีความประพฤติหรือแนวคิดที่ไม่เป็นไปตามระเบียบของสังคม (Cancel Culture) ที่ทำให้เขารู้สึกรำคาญ
“ในทุกวันนี้ ทั้งวัฒนธรรมการแบน วัฒนธรรมการ Woke การแบ่งแยก วัฒนธรรมนี้ วัฒนธรรมนั้น มันทำให้ผมรู้สึกรำคาญมากจริง ๆ ด้วยจิตวิญญาณของสิ่งนั้น คุณจะยอมจำนนต่อมัน และกลายเป็นสิ่งที่คนอื่นอยากให้คุณเป็น หรือคุณอาจจะคิดว่า ‘ไม่ นั่นไม่ใช่ตัวตนของฉัน ฉันจะเป็นตัวของตัวเอง แบบที่เป็นตัวเองจริง ๆ ‘ การพูดความจริงนั้นสำคัญ การถือสัตย์จริงเป็นสิ่งสำคัญ และนั่นอาจจะทำให้คนอื่นอารมณ์เสียและไม่พอใจ ซึ่งมันก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่… ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผมต้องใช้เวลามากพอสมควรกว่าที่จะตระหนักได้”
และเมื่อชวนจอห์นสันมาพูดเรื่องการเมือง คำถามที่ไม่ถามไม่ได้ก็คือ เขายังสนใจอยากจะลงสมัครเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐอเมริกาบ้างไหม ซึ่งหลายคนก็อยากเห็นเขาเข้าไปยังทำเนียบขาว เพราะด้วยบุคลิกความเป็นผู้นำที่เข้าถึงง่าย และฐานชื่อเสียงแฟนคลับที่สั่งสมมาตั้งตอนเล่นมวยปล้ำ และแสดงหนังก็เรียกได้ว่าไม่น้อยเลย
ก่อนหน้านั้น นิตยสาร Newsweek ได้เปิดเผยผลสำรวจว่า มีชาวอเมริกันกว่า 46% สนับสนุนให้จอห์นสันลงสมัครเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี จนในเวลาต่อมา เขาเองก็แอบแง้มถึงความสนใจที่อยากจะลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หากนั่นเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันต้องการ รวมทั้งเขาเองเปิดเผยว่า มีพรรคการเมืองหลายพรรคทาบทามให้เขาลงสมัครชิงตำแหน่ง แต่เขาเองก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า เขาล้มเลิกความคิดนั้นไปแล้ว เพราะเขาต้องการจะมุ่งมั่นในการให้เวลา และทำหน้าที่พ่อของลูกสาวที่กำลังโตให้ดีที่สุด
จอห์นสันถูกถามในการสัมภาษณ์ว่า แม้เขาจะไม่สนใจในการเมืองอีกต่อไป แล้วเขาเองสนใจอยากจะอยากจะเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้หรือไม่ คำตอบก็คือ
“ณ ตอนนี้ก็ยังไม่สนใจครับ นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของผม ผมไม่ใช่นักการเมือง ผมไม่อินการเมืองเลย ผมใส่ใจในประเทศของเราอย่างลึกซึ้งมากกว่า ผมเป็นคนที่รักประเทศชาติ และผมเชื่อว่าคุณก็ด้วยเช่นกัน และตอนนี้ ความปรารถนาและลำดับความสำคัญของผมก็คือการขับรถไปส่งลูก ๆ ที่โรงเรียนอะไรแบบนั้น มันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผม”
“ด้วยจิตวิญญาณของการนำผู้คน และประเทศชาติของเรามารวมกันให้เป็นปึกแผ่น ผมไม่รู้ว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องหรือเปล่า ณ จุดนี้ มันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้นะ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”