อย่างที่เรารู้จักกันดีว่า เควิน เบคอน (Kevin Bacon) เป็นนักแสดงรุ่นใหญ่ที่แจ้งเกิดอย่างโด่งดังในหนังมิวสิคัลวัยรุ่นร้องเต้นในตำนาน ‘Footloose’ (1984) ก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นนักแสดงที่มีบทบาทนำ และวายร้ายในหนังอีกหลายเรื่อง ทั้ง ‘Friday the 13th’ (1980), ‘A Few Good Men’ (1992), ‘Apollo 13’ (1995), ‘Mystic River’ (2003), ‘Frost/Nixon’ (2008) และอีกมากมายนับไม่ถ้วน
แม้ว่าเขาจะอยู่ในวงการแสดงมายาวนาน แต่เบคอนเองก็เป็นนักแสดงอีกคนที่มีความรู้สึกขัดเขินในชื่อเสียงของตัวเขาเองที่สั่งสมมากว่า 50 ปี เบคอนในวัย 65 ปีได้ให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับ Vanity Fair ซึ่งเขาเคยเปิดเผยว่า ด้วยความที่เขาเองก็อยากใช้ชีวิตแบบเดียวกับคนธรรมดาคนหนึ่ง เขาจึงลองทดสอบด้วยการปลอมตัวและใช้ชีวิตแบบปุถุชนโดยไม่พึ่งพาอภิสิทธิ์คนดัง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับเกินกว่าที่เขาคาดคิด
เบคอนเล่าถึงขั้นตอนการปลอมแปลงตัวเอง ที่ไม่ใช่แค่การใช้เครื่องแต่งกายจำพวกหมวกหรือแว่นตาดำเพื่ออำพรางใบหน้าแบบที่นักแสดงหลายคนเคยทำ “คือผมไม่ได้จะบ่นอะไรนะ แต่ใบหน้าของผมมันเป็นใบหน้าที่คนจดจำได้ง่ายมาก ลำพังการใส่แค่หมวกหรือแว่นตามันช่วยพรางตัวผมได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้นแหละ”
นักแสดงและนักดนตรีเจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำเลยคิดแผนการใหญ่ ด้วยการสั่งทำอวัยวะเทียมขึ้น เพื่อใช้ปลอมแปลงใบหน้าของเขาให้ดูต่างจากใบหน้าของ เควิน เบคอน ราวกับว่าเขากำลังจะรับบทในหนังฮอลลีวูดสักเรื่อง “ผมเลยไปขอคำปรึกษากับช่างแต่งหน้าสเปเชียลเอฟเฟกต์ และขอให้เขาทำอวัยวะปลอมให้กับผม”
สิ่งที่เบคอนได้มาก็คือ ฟันปลอม จมูกปลอมที่มีความแตกต่างไปจากจมูกจริง ๆ ของเขาเล็กน้อย รวมทั้งแว่นตา ก่อนที่เขาจะเลือกสถานที่เป้าหมายที่จะใช้ในการทดลอง นั่นก็คือห้างสรรพสินค้าเดอะโกรฟ (The Grove) เป็นห้างที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง และมีพื้นที่ติดกับสวนสาธารณะ ทำให้ห้างแห่งนี้เป็นอีกจุดที่คับคั่งไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยวหนาแน่นมากที่สุดของลอสแองเจลิส
เมื่อลงทุนปลอมแปลงใบหน้ากันขนาดนี้ แน่นอนว่าต้องได้ผล ในตอนแรก เบคอนรู้สึกดีใจที่ไม่มีใครจดจำและเดินมาทักเขาเลย แต่ดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเกินคาดไปหน่อย เพราะสุดท้ายก็ไม่มีใครเลยที่จำได้ว่าเขาคืออดีตไอ้หนุ่มเท้าไฟคนนั้น แถมเขายังถูกปฏิบัติตัวราวกับคนธรรมดาทั่วไป จนทำให้เขารู้ซึ้งถึงชื่อเสียงที่สั่งสมมาว่าบางครั้งมันก็มีประโยชน์อยู่เหมือนกัน
“ผู้คนต่างก็ผลักไสไล่ส่งผมไปแบบไม่ไยดีเลย ไม่มีใครคอยพูดบอกว่า ‘ฉันรักคุณ’ ผมต้องยืนรอคิวเพื่อจะซื้อกาแฟสักถ้วย หรืออะไรก็ตาม ผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่โคตรห่วยแตกเลย ผมอยากกลับไปมีชื่อเสียงอีกครั้งมากกว่า”
แม้ว่าเบคอนจะสั่งสมชื่อเสียงในการแสดงของเขามาอย่างยาวนาน แต่เขาเองก็ไม่ลืมว่า 1 ในแรงบันดาลใจในการอยากเป็นนักแสดงของเขาก็คือ เอ็ดมัน เบคอน (Edmund Bacon) พ่อของเขาผู้มีชื่อเสียงในฐานะนักสถาปนิกผังเมือง (Urban Architecture) ที่เป็นที่รู้จักจนถึงขั้นเคยขึ้นปกนิตยสาร Time ที่วางแผงในปี 1964 มาแล้ว
“เรียกได้ว่า 100% เลยครับ ในแง่ของการให้เครดิตพ่อกับแม่ของผม ที่แน่นอนว่าต้องยกเครดิตทั้งหมดให้พวกเขา พ่อและแม่ของผมเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะ และสนับสนุนงานด้านการแสดงอย่างมาก พวกท่านสนับสนุนให้มีการใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเต้นรำ ดนตรี ละคร วาดภาพ ประติมากรรม หรืออะไรก็ตาม”
ตลอดชีวิตในหน้าที่การงาน ทำให้เขาเป็นที่รู้จักและได้รับคำชื่นชมมากมาย ผลงานของเขาหลายเรื่องกลายเป็นผลงานระดับตำนาน แต่ที่เขาแตกต่างจากนักแสดงคนอื่น ๆ ก็คือ ครั้งหนึ่งชื่อเสียงของเขาเคยถูกนำมาสร้างเป็นเกมที่มีชื่อว่า ‘Six Degrees of Kevin Bacon’ ที่อ้างอิงมาจากแนวคิด ‘Six Degrees of Separation’ ที่กล่าวว่า คนทุกคนล้วนมีความสัมพันธ์ทางสังคมห่างกันไม่เกิน 6 ระดับ
ที่มาของเกมนี้เริ่มต้นจากตอนที่เบคอนเคยให้สัมภาษณ์กับ Premiere ในปี 1994 ที่เขากล่าวว่า ตัวเขาเคยร่วมงานกับนักแสดงทุกคนในฮอลลีวูดมาแล้ว จนทำให้เขาถูกขนานนามว่าเป็นนักแสดงที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล จนกระทั่ง เครก ฟาสส์ (Craig Fass), ไบรอัน เทิร์ตเทิล (Brian Turtle) และ ไมก์ จิเนลลี (Mike Ginelli) แก๊งเพื่อนนักศึกษาจากวิทยาลัยอัลไบรต์ (Albright College) เกิดความคิดในระหว่างนั่งดูหนัง ‘Footloose’ ที่เบคอนแสดง
ทั้ง 3 คนเกิดความสงสัยว่า เบคอนคยแสดงกับนักแสดงคนใดในฮอลลีวูดมาแล้วบ้าง จนกลายเป็นเกม ‘Six Degrees of Kevin Bacon’ ที่ให้ผู้เล่นค้นหาว่า นักแสดงแต่ละคน มีความเชื่อมโยงกับเบคอนกี่ระดับ (โดยจะมีความเชื่อมโยงกันไม่เกิน 6 ระดับ) เกมนี้เคยกลายเป็นไวรัลที่หลายคนเอาไปเล่น และเป็นมีมอยู่พักหนึ่ง จะมีก็แต่เบคอนที่ไม่พอใจกับกระแสนี้มากนัก เพราะรู้สึกว่าเป็นการล้อเลียนในอาชีพการงานของเขา
“พวกเขาเอาผมมาล้อเล่น ใช่ ผมเป็นนักแสดง แต่ผมคิดว่าเรื่องที่ตลกก็คือการเอาคนโนเนม (อย่างผม) ไปเชื่อมโยงกับ ลอว์เรนซ์ โอลิเวียร์ (Laurence Olivier) หรือ เมอรีล สตรีป (Meryl Streep) หรือใครก็ตามได้ภายใน 6 ระดับหรือน้อยกว่านั้น ซึ่งมันทำให้ตัวผมรู้สึกไม่มั่นใจในฐานะนักแสดง”
แม้ว่าเขาจะเคยรู้สึกไม่ดีกับเกมนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเอาชื่อของเกมนี้มาต่อยอดด้วยการก่อตั้งองค์กรการกุศล Six Degrees เพื่อเชื่อมโยงการช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ มากมาย และเขาก็ยังเอาชื่อนี้ไปทำรายการพอดแคสต์ที่เขารับหน้าที่เป็นโฮสต์ด้วยตัวเองในชื่อ ‘Six Degrees with Kevin Bacon’ อีกด้วย
แน่นอนว่า ชื่อเสียงยังคงพาให้เขามีผลงานมาโดยตลอด โดยเฉพาะในปีนี้ ที่มีผลงานของเขาเข้าฉายในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 2 เรื่อง ที่มีเขาปรากฏตัวใน 2 บทบาท ทั้งการรับบทเป็นตำรวจกังฉิน ใน ‘Beverly Hills Cop: Axel F’ ภาคต่อหนังตำรวจยุค 80′ ที่เพิ่งเข้าฉายทาง Netflix และการรับบทเป็นนักสืบเอกชนใน ‘MaXXXine’ หนังปิดไตรภาคหนังเชือดค่าย A24 ของผู้กำกับ ไท เวสต์ (Ti West)
เบคอนทิ้งท้ายถึงการทำงานและฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานาที่ทำให้เขามาอยู่ตรงจุดนี้ได้อย่างสง่างาม และยังคงมีศักยภาพในการแสดงผลงานใน 2 บทบาทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“ผมรู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ผมมาถึงจุดนี้ได้ การที่ผมได้มีโอกาสมีหนัง 2 เรื่องที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และได้ออกฉายภายในระยะเวลาห่างกันไม่กี่วัน มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกปลาบปลื้มเป็นอย่างมากที่หนังทั้ง 2 เรื่องได้เข้าฉายในเร็ว ๆ นี้ ผมต้องต่อสู้อย่างยาวนาน และหนักหน่วงมาก ๆ ก็เพื่อสิ่งเหล่านี้นี่แหละ”