เจเรมี เรนเนอร์ (Jeremy Renner) นักแสดงวัย 53 ปี ที่เรารู้จักกันจากบทบาท คลินต์ บาร์ตัน (Clint Barton) หรือฮอว์กอาย (Hawkeye) ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Men’s Health ฉบับล่าสุด ที่ได้เปิดเผยถึงความรู้สึกผิดของเขาที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์อุบัติเหตุถูกรถไถหิมะทับจนเฉียดตาย รวมทั้งความยากลำบากของเขาในช่วงเวลาพักฟื้น และความรักที่เขาได้รับ จนทำให้เขากลับมาฟื้นตัวเป็นปกติได้ในที่สุด

รุ่งเช้าวันขึ้นปีใหม่ของปี 2023 เรนเนอร์ และ อเล็กซ์ซานเดอร์ ฟรายส์ (Alexander Fries) หลานชายวัย 27 ปี กำลังช่วยเคลียร์หิมะออกจากทางเข้าบ้านที่ตั้งอยู่ในรัฐเนวาดา เรนเนอร์ใช้รถไถหิมะพิสเทนบูลลี (PistenBully) น้ำหนัก 14,000 ปอนด์ (ประมาณ 6 ตัน) ที่เขาเป็นเจ้าของ ออกมาไถหิมะที่มีความสูงประมาณ 30-60 ฟุตที่ตกลงมาในฤดูหนาวด้วยตัวเองเหมือนดังเช่นปกติ

เรนเนอร์กำลังใช้รถไถหิมะเพื่อเปิดทางให้กับรถบรรทุกที่หลานชายขับมา ก่อนที่เขาจะใช้โซ่คล้องรถบรรทุกเอาไว้และดึงออกมาจากกองหิมะ แต่ในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังตะโกนคุยกันเพื่อหาวิธี รถไถหิมะ PistenBully กลับเคลื่อนตัวไปข้างหน้า ในเสี้ยววินาที เรนเนอร์ตัดสินใจพยายามกระโดดขึ้นไปที่ห้องโดยสารเพื่อหยุดรถ แต่เครื่องไถหิมะกลับเคลื่อนตัวไป เท้าของเขาเข้าไปติดกับสายพานขนาดใหญ่ที่กำลังเคลื่อนที่ ก่อนจะฉุดตัวเขาให้ตกลงไปจนถูกรถไถหิมะทับร่างของเขา

“ล้อตีนตะขาบลากผมขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนอย่างกับรถถัง ผมจำได้ทุกการเคลื่อนไหว ผมจำได้เพราะว่าหัวของผมกระแทกกับล้อตีนตะขาบ และมันก็กดลงมาที่ผม มันเหมือนกับที่คุณคิดว่าจะรู้สึกนั่นแหละ การมีแรงกดมาทับวัตถุที่เคลื่อนไหวไม่ได้มันต้องแตกหักแน่ ๆ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่กะโหลกศีรษะของผมยังไม่แตกหักเต็มที่”

Jeremy Renner

“แต่มันก็ยังคงเคลื่อนตัวไปต่อเรื่อย ๆ ขึ้นลง ๆ ผมเริ่มกระดูกแก้มแตก เบ้าตาแตกจากแรงกดทับของตัวรถ ดวงตาของผมปูดโปนออกมา ผมมองเห็นตาซ้ายที่ปูดออกมาได้ด้วยตาข้างขวา ผมกรีดร้องเพื่อจะหายใจ ผมต้องดึงพลังทั้งหมดของผมออกมาเพื่อจะสูดอากาศกลับเข้าไปให้ได้ ผมหายใจไม่ได้เลย มันยากที่ผมจะใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องเพื่อหายใจ เมื่อมีกระดูกซี่โครงหักอยู่ 14 ท่อน และปอดแตก ตอนนั้นผมยังไม่รู้เรื่องนี้นะ ผมแค่ต้องการอากาศหายใจ ผมเหมือนกำลังถูกร่างกายทดสอบเพื่อเอาชีวิตรอด”

“5 นาทีแรกผมพยายามจะหายใจ และหลังจากนั้น 15 นาที เพื่อนบ้านของผมก็โทรเรียก 911 ผมให้หลานชายจับแขนของผมเอาไว้ เพราะกระดูกซี่โครงมันทิ่มข้างในและกระแทกปอด ผมจำได้ว่าขาของผมมันบิดเหมือนกับเพรตเซลเลย ผมแม่-ไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยตอนนั้น ผมเลยนึกได้ว่า ชิ-หาย เดี๋ยวมันคงจะเจ็บทีหลังแน่ ๆ เลย”

เพื่อนบ้านที่เห็นเหตุการณ์และโทรแจ้ง 911 ในวันนั้น เห็นภาพของเรนเนอร์ที่นอนอยู่ตรงจุดเกิดเหตุ ตาข้างหนึ่งปิดอยู่ และมีกองเลือดอยู่ใต้หิมะ เขาเห็นเรนเนอร์พยายามจะหายใจ เขาหายใจมีเสียงหวีด มีเสียงครางฮือ ๆ และช้าลงเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งก็คล้ายกับจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ

“ผมคิดว่าที่ผมหายใจลำบาก มันคงเป็นแค่เพราะตะคริวกินล่ะมั้ง ขอแค่หายใจให้ถูกวิธี แล้วไปบอกกับครอบครัวว่าวันนี้พ่อไม่ไปเล่นสกีนะ วันนี้ผมพาลูกสาวกับเด็ก ๆ ที่รอผมอยู่ไปเล่นสกีไม่ได้ ผมหลอกตัวเองไม่ได้อีกต่อไป ผมต้องยอมแพ้และโฟกัสไปที่การหายใจ โฟกัสไปที่การหายใจ โฟกัสไปที่การหายใจ”

“แต่ผมก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยมาก ๆ อัตราการเต้นของหัวใจเริ่มต่ำลงเรื่อย ๆ ผมหายใจเข้าออกตลอด 45 นาทีอย่างลำบาก ด้วยความเหนื่อยล้า มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนใกล้ตาย ทีมแพทย์ฉุกเฉินมาถึง และผมก็คิดว่า ผมคงต้องยอมให้พวกเขาพาไป เพราะผมหมดแรงจนลุกไม่ขึ้นแล้ว มันไม่ใช่แค่ตะคริวแล้วล่ะ ผมคงเดินกลับไปบอกกับครอบครัวไม่ไหว”

เรนเนอร์ประสบอุบัติเหตุในระดับวิกฤติ รายการอาการบาดเจ็บของแพทย์ระบุว่า เขาบาดเจ็บจากกระดูกหักรวมทั้งหมดกว่า 38 จุด ซี่โครงหัก 14 จุดจาก 6 ซี่ กระดูกเชิงกรานส่วนล่าง เข่าขวา กระดูกต้นขา ข้อเท้าขวาหัก กระดูกหน้าแข้ง ข้อเท้า และกระดูกนิ้วเท้าซ้ายหัก กระดูกไหปลาร้าขวา กระดูกสะบักขวา เบ้าตา กระดูกขากรรไกรล่างหัก 3 ท่อน มือและข้อมือซ้ายหัก ปอดแฟบ ตับมีแผลจากการถูกกระดูกซี่โครงที่หักเจาะ มีบาดแผลฉีกขาดที่ท้ายทอย แก้วหูขวาไม่ได้ยิน ดวงตาฟกช้ำ และถูกกระแทกที่ตาซ้ายจนปูดโปน

หลังจากพักฟื้นโดยมีเครื่องช่วยชีวิตประคองอาการ ในที่สุดเขาก็กลับมารู้สึกตัว ภาพแรกที่เขาเห็นคือภาพของครอบครัวที่อยู่ล้อมรอบตัวเขา รวมทั้งกำลังใจทั้งจากเพื่อน ๆ นักแสดง รวมทั้งจากแฟน ๆ ทั่วโลกที่ส่งกำลังใจให้เขากลับมาหายดี

“ตอนที่ผมรู้สึกตัว ครอบครัวของผมก็อยู่ที่นั่นด้วย คอยบีบนิ้วเท้า ทำโน่นทำนี่ให้กับผม เมื่อผมตื่นขึ้นมา พวกเขาก็ไปนอนกันอยู่ที่ปลายเตียงกันหมด ตอนนั้นผมต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ต้องสอดท่อยางขนาดใหญ่เข้าไปในตัว ผมอยากเขียนอะไรบางอย่าง ผมเลยบอกว่าให้เอาดินสอมาให้ผมหน่อย ผมเขียนว่า ‘เ-ี่ยเอ๊ย ผมขอโทษ ผมรักคุณทุกคนมาก ๆ นะ’ มันดูเหมือนคำพูดแปลก ๆ นะ แต่มันเป็นพลังที่ขับเคลื่อนให้ผมตื่นขึ้นมาในช่วงแรกจริง ๆ นะครับ”

ในระหว่างการเข้ารับการรักษาในห้อง ICU เรนเนอร์เล่าว่าเขาจำอะไรได้เพียงส่วนเสี้ยว 6 วันใน ICU ห้องแรก และ 6 วันในห้อง ICU อีกห้อง เขาต้องอยู่ภายใต้เครื่องช่วยชีวิต และแม้ว่าเขาจะฟื้นขึ้นมาราวกับปาฏิหาริย์ แต่อุปสรรคก็ไม่ได้หมดไป สิ่งที่ยากลำบากมากที่สุดของเขาในการรักษาอย่างหนึ่งก็คือการอาบน้ำ และการเข้าห้องน้ำ

“แม่-คือหายนะชัด ๆ เลย แม้แต่กระทั่งอาบน้ำ เข้าห้องน้ำ ทุกอย่างแม่-เป็นหายนะจริง ๆ จะบ้าตาย พวกเขาต้องให้ยาเพื่อที่จะทำให้ผมไม่ต้องไปเข้าห้องน้ำ มันก็เลยทำให้ผมท้องผูก เวลาจะฉี่ ผมก็ต้องฉี่ใส่ขวด มันโคตรแย่เลย มันทำให้ผมรู้ว่าชีวิตผมมันห่วยแตกมาก”

“ผมต้องฉี่ใส่ขวดพลาสติก ผมต้องใช้เวลา 17 นาทีในการลุกจากเตียง ผมมีความสุขในการได้นั่งตัวตรง ๆ และขยับตัวเพื่อจะนั่งเก้าอี้และขยับตัวได้นิดหน่อย แต่ตอนที่อาบน้ำ มันต้องใช้เวลาเกือบ ๆ จะครึ่งวัน อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นจะเปียกน้ำไม่ได้เลย เพื่อจะได้ไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพราะฉะนั้นเส้นผมของผมจะมันเยิ้มและสกปรกมาก แถมมีกลิ่นตัวด้วย ผมเลยต้องใช้ฟองน้ำในการอาบน้ำ”

Jeremy Renner

ในระหว่างการพักฟื้น เรนเนอร์ต้องเข้ารับการทำกายภาพบำบัด และเข้ารับการรักษาด้วยหลากหลายวิธี ทั้งการบำบัดด้วยแสงสีแดง การบำบัดด้วยห้องออกซิเจนแรงดันสูง ประกอบกับการที่เขาได้กำลังใจที่ดี หลังจากพักฟื้นมายาวนานกว่า 9 เดือน เรนเนอร์ปรากฏตัวครั้งแรกพร้อมกับเพื่อนนักแสดง Avengers โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.) และ คริส เฮมส์เวิร์ธ (Chris Hemsworth) ในงานแต่งงานของ คริส อีแวนส์ (Chris Evans)

เรนเนอร์เล่าว่า ด้วยความที่เขาเติบโตมาท่ามกลางครอบครัวขนาดใหญ่ เขาเป็นพี่ชายคนโตในบรรดาพี่น้องทั้ง 7 คน รวมทั้งยังมีปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า และลูกพี่ลูกน้องอีกมากมาย การที่เขาเขียนคำขอโทษในวันนั้นก็เพราะว่าเขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ ที่ไม่สามารถพาลูกสาวและเด็กที่เป็นญาติ ๆ ไปเล่นสกีในวันนั้นได้

“ผมอยากจะขอโทษพวกเขาอย่างสุดซึ้ง และพวกเขาก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร พวกเขาต่างทุ่มเทเพื่อผม เหมือนที่ผมทุ่มเทให้กับพวกเขา ครอบครัวของผมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อผม เราเป็นครอบครัวที่รักกันอย่างแน่นแฟ้น และตอนนี้ก็ยิ่งแน่นแฟ้นมากขึ้นไปอีก เราเป็นครอบครัวที่ใหญ่มาก ทั้ง 2 ฝั่งเลย”

“ผมไม่รู้ด้วยซ้ำนะว่าพวกเขาชื่ออะไรกันบ้าง นี่ไม่ได้ล้อเล่นนะครับ บางทีผมก็ต้องนึกว่า นี่ใครวะ ? และผมก็จะไม่ปล่อยให้ใครที่ผมดูแลต้องเจ็บปวด นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมยอมเสี่ยงชีวิตตัวผมเองเพื่อหลานชายของผม ผมจะไม่ปล่อยให้ไอ้รถบ้านั่นมาทับเขาเด็ดขาด ไม่มีทาง ผมคงรับไม่ได้จริง ๆ ถ้าเกิดว่าผมไม่ทำแบบนั้น แล้วรถไหลไปทับเขา ผมคงเป็นคนที่ไม่ดีแน่นอน”

“นึกออกไหม ? ถ้าเป็นแบบนั้นจริง แม่-คงหลอกหลอนผมไปตลอดแน่ ๆ แต่ผมไม่ได้จะทำมันโดยที่รู้ว่าตัวเองจะต้องบาดเจ็บหรอกนะ ผมแค่คิดว่าไม่มีปัญหาหรอก จัดการได้ แค่ผมกระโดดเกาะรถไปกดปุ่มปิด ง่าย ๆ แค่นั้นเอง!”

อุบัติเหตุไม่ใช่แค่ทำให้เขาได้รับรู้ถึงความรักที่เขาได้รับจากครอบครัว เพื่อนฝูง และแฟนคลับที่คอยส่งกำลังใจ แต่มันยังสอนให้เขาได้รู้จักการโอบรับความรักที่หลั่งไหลเข้ามาหาเขาอย่างมากมาย อย่างที่เขาไม่เคยคิดจะทำมาก่อน

“ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าผมเป็นคนที่รักยาก และผมคิดว่าครอบครัวและคนอื่น ๆ คงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ มีคนที่รักผมมากมาย แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าผมต้องเรียนรู้ที่จะรับความรักเหล่านี้ จากคนที่คุณก็ไม่รู้จักด้วยซ้ำ และมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทำไมอุบัติเหตุครั้งนี้มันถึงมีความหมายขนาดนั้นนะ ? “

“แต่แล้วผมก็บอกกับตัวเองว่า ไอ้บ้าเอ๊ย หยุดถามโน่นนี่เถอะ ก็แค่รับไว้เท่านั้นเอง ผมเคยโด่งดังจากการมีธนูและลูกศร แต่ตอนนี้ผมโด่งดังจากการเอาชนะบางสิ่งในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง”