เมื่อปี 2021 อาร์มี แฮมเมอร์ (Armie Hammer) นักแสดงหนุ่มวัย 37 ปี ที่เป็นที่รู้จักจากบทบาทการแสดงในหนังดังหลายเรื่อง ทั้ง ‘The Social Network’ (2010), ‘The Man from U.N.C.L.E.’ (2015) และ ‘Call Me By Your Name’ (2017) ต้องกลายเป็นดาวดับแสงในทันที เมื่อบัญชี Instagram ลึกลับที่ใช้ชื่อว่า @houseofeffie รวมทั้งบรรดาผู้หญิงที่อ้างว่าเคยเป็นแฟนเก่าของเขา ได้ออกมาเปิดโปงถึงพฤติกรรมเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศอันรุนแรงผิดปกติ ตั้งแต่การข่มขืน รสนิยม BDSM ความชอบในกิจกรรมทางเพศแบบนายทาส รวมทั้งความรู้สึกอยากกินเนื้อมนุษย์ หรือ Cannibalism
ผลจากการถูกเปิดโปงในครั้งนั้น แม้แฮมเมอร์จะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาตามกฏหมาย แต่กระแสข่าวก็ส่งผลให้เขาหมดอนาคตในฮอลลีวูดแทบจะทันที เขาถูกสายตาจากผู้คนตัดสินไปแล้วว่าเขามีรสนิยมทางเพศอันวิปริตผิดปกติ เขาหายหน้าจากวงการไปพักหนึ่ง จนกระทั่งมีคนพบเขาย้ายไปอาศัยและทำงานอยู่ในหมู่เกาะเคย์แมน (Cayman Islands) รวมทั้ง Vanity Fair ยังได้รายงานข่าวว่า เขาได้รับความช่วยเหลือในการบำบัดยาเสพติดและแอลกอฮอล์จาก โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ (Robert Downey Jr.)
แต่ในการสัมภาษณ์ล่าสุดของแฮมเมอร์ในรายการออนไลน์ Piers Morgan Uncensored นอกจากเขาจะออกมาเปิดเผยชีวิตในปัจจุบันแล้ว เขายังเปิดเผยว่า นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือในการออกค่าบำบัดเป็นเวลา 6 เดือนแก่เขาตามที่สื่อรายงาน
“ไม่เลยครับ เขาไม่ได้ให้เงินผมไปบำบัดหรอก ผมไม่ได้อยากให้ใครมาอยู่ในสถานการณ์เดียวกับผม มีคนจำนวนไม่น้อยที่คอยช่วยเหลือผมเป็นอย่างดี และผมก็รู้สึกขอบคุณมาก”
เขาเล่าถึงการช่วยเหลือที่แท้จริงที่ ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้ช่วยเหลือเขา นั่นก็คือการให้คำแนะนำ “ไม่ว่าใครก็ตามในฮอลลีวูดที่ประสบปัญหาการติดสารเสพติด ไม่ว่าจะอาการติดสุรา อยากตัดสินใจเลิกเหล้า ติดยาเสพติด คน ๆ นี้จะไปพบคุณและช่วยเหลือคุณได้ มันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก สิ่งที่เขาแนะนำกับผมก็คือ ‘นั่งลง หุบปากซะ แล้วทุกอย่างจะโอเค'”
ที่ผ่านมา หลังจากที่เขาหมดเส้นทางในอาชีพนักแสดง เขาเองไม่เคยที่จะขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะ ดาวนีย์ จูเนียร์ หรือนักแสดงคนใดเลย เมื่อพิธีกรถามถึงนักแสดงที่เคยร่วมงานกับเขา ตั้งแต่ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) ใน ‘J. Edgar’ (2011) หรือ จูเลีย โรเบิร์ตส์ (Julia Roberts) ใน ‘Mirror Mirror’ (2012) ที่เขาเปิดเผยว่า ไม่เคยเข้ามาให้ความช่วยเหลือกับเขา และเขาเองก็ไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
“ผมพยายามจะไม่คิดถึงคนที่ไม่ได้ติดต่อกับผมแล้วน่ะครับ ผมพยายามจะมุ่งความสนใจไปที่คนที่ติดต่อมา และแสดงออกถึงการสนับสนุนผมมากกว่า”
บางคนที่ว่านั้น หมายถึง จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) นักแสดงที่เคยร่วมงานกับเขาใน ‘The Lone Ranger’ (2013) และเดปป์เองก็เคยเป็นนักแสดงที่ได้รับผลกระทบจากการถูกฮอลลีวูดแบนไปช่วงหนึ่งจากคดีความเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกายอดีตภรรยา จนกระทั่งเมื่อเขาชนะคดี เขาก็กำลังจะหาที่ทางเพื่อกลับเข้ามาสู่ฮอลลีวูดอีกครั้ง
“เราติดต่อกันหลายครั้งแล้วเหมือนกันครับ ทั้งทางโทรศัพท์บ้าง FaceTime บ้าง ผมไม่ได้เล่าสถานการณ์ของเขาให้เขาฟัง และเขาก็ไม่ได้เล่าสถานการณ์ของเขาให้ผมฟังด้วยเหมือนกัน ผมกับเขาแค่พูดคุยสังสรรค์มากกว่า เช่นว่า ‘คุณเป็นอย่างไรบ้าง ดีใจที่ได้พบคุณนะ ดึใจที่คุณยังมีชีวิตอยู่’ ประมาณนั้น”
อีกคนที่ออกมาสนับสนุนเขาก็คือ ลูกา กัวดานีโญ (Luca Guadagnino) ผู้กำกับที่เคยร่วมงานกับแฮมเมอร์ ซึ่งแม้โปรเจกต์ภาคต่อหนังรัก ‘Call Me By Your Name’ จะยังไม่เป็นรูปร่าง แต่ผู้กำกับรุ่นใหญ่ชาวอิตาลีก็เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับ Variety ว่า หากวันนั้นเกิดขึ้นเมื่อไร เขาก็พร้อมที่จะให้แฮมเมอร์กลับมารับบทโอลิเวอร์เช่นเดิม
แต่ในขณะเดียวกัน เขาเองก็เปิดเผยว่า เขาไม่ได้รู้สึกน้อยใจกับคนที่ไม่ได้ออกมาสนับสนุนเขาเช่นกัน “ผมเองรู้ตัวดีว่า สถานการณ์ในตอนนี้มันยังไม่ค่อยนิ่งมากนัก และใครก็ตามที่ออกมาสนับสนุนก็อาจจะถูกโจมตี ผมเข้าใจว่าสถานการณ์ที่ผมพบเจอมันเป็นสิ่งที่รุนแรง และใครก็ตามที่เข้าใกล้มากเกินไป ก็อาจจะเป็นการจุดไฟเผาตัวเองได้เหมือนกัน”
แฮมเมอร์ได้เปิดเผยก่อนหน้านี้กับรายการพอดแคสต์ Club Random with Bill Maher ว่า หลังจากที่ตัวเขาเองพ้นมลทิน หลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจของลอสแองเจลิสสอบสวนอยู่นานถึง 2 ปีครึ่ง เขาพยายามจะหางานทำในหมู่เกาะเคย์แมนที่เขาย้ายไปอาศัยอยู่ “ผมเคยสมัครงานเป็นครูสอนการแสดง ผมเคยสมัครงานเป็นคนทำสวน ผมเคยสมัครงานเป็นผู้จัดการของอาคาร แต่หมู่เกาะเคย์แมนก็ไม่ยอมให้ใบอนุญาตทำงานกับผม”
เขาเล่าเพิ่มเติมว่า แม้เขาเองจะมีศักดิ์เป็นถึงลูกหลานของมหาเศรษฐีผู้อยู่ในธุรกิจน้ำมัน แต่เขาก็ไม่ได้รับการแบ่งปันมรดกใด ๆ และเขาเองก็ใช้เงินจนแทบจะหมดตัว ช่วงหนึ่งเขาถึงกับติดหนี้บัตรเครดิตจนเกือบถูกฟ้อง
“ผมมาถึงจุดที่เข้าใจว่าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรี ๆ และอะไรก็ตามที่คุณหยิบไป ก็มักจะมีเงื่อนไขเสมอ โดยเฉพาะจากคนที่ชอบให้ เพระาถ้าเป็นแบบนั้น พวกเขาก็จะรู้ว่ามีเงื่อนไขในการให้อยู่แล้วล่ะ จริงไหม ผมอยากหางานทำมากกว่า ผมก็เลยไปทำงานขายไทม์แชร์”
“จริงอยู่ที่มันจะมีที่ทางที่ผมสามารถจะพูดได้ว่า ช่างแม่- และหาทางยืมเงินจากครอบครัว หรือทำอะไรแบบนั้นได้บ้างไหม ก็ทำได้นะ แต่นั่นมันไม่ใช่ตัวตนของผมเลย มันไม่ใช่ตัวตนที่ผมอยากจะเป็น ตั้งแต่ตอนที่ผมอายุ 19 ปีที่ผมตัดสินใจว่าจะเป็นนักแสดง”
ก่อนหน้านี้ แฮมเมอร์ได้เปิดเผยในพอดแคสต์ Painful Lessons ว่า เขากำลังพยายามทำงานเขียนบทภาพยนตร์ที่อิงมาจากชีวิตของเขา โดยพยายามจะหาช่องทางในการทำงานด้วยตัวของเขาเอง
“แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นที่ต้อนรับในที่ทางของฮอลลีวูด แต่ผมก็ตัดสินใจว่าผมจะสร้างที่ทางของตัวเอง ถ้าไม่ให้ผมเข้าไปในที่ทางของคุณ ผมก็จะไปเล่นอยู่ในที่ทางของผมเอง ผมกำลังเขียนบทหนังร่วมกับเจอร์รี เพื่อนของผม เราพยายามรวบรวมโปรเจกต์นั้นอยู่ ผมยังไม่อยากลงรายละเอียดในตอนนี้”
“แต่ว่าตอนนี้เรามีบทแล้ว และมันก็เป็นสิ่งที่เราหลงไหลมาก เป็นอะไรที่ผมต้องการอยากจะทำ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าอนาคตของผมมันจะเป็นอย่างไร ผมไม่รู้ว่าจะรับมือยังไง แต่สิ่งเหล่านี้มันอยู่นอกเหนือการควบคุมของผม ผมไม่สามารถควบคุมปฏิกิริยาของผู้คนต่อสิ่งเหล่านั้นได้ แต่ผมสามารถทำสิ่งที่ผมหลงไหลได้ แค่พวกเขาบอกว่าผมทำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องเชื่อฟัง”
แม้ว่าหลายส่วนจะคอยสนับสนุนและให้การช่วยเหลือเขา และตัวเขาเองก็ถือว่าพ้นมลทินในทางกฏหมายแล้ว แต่แน่นอนว่า มลทินจากข้อกล่าวหาที่ต้องเผชิญ ก็ทำให้เขาถูกฮอลลีวูดและสังคมบางส่วนแบนอยู่ดี แฮมเมอร์เล่าในพอดแคสต์ Club Random with Bill Maher ถึงความเชื่อมั่นเล็ก ๆ ที่เขาได้รับ แม้เขาจะถูกสังคมส่วนใหญ่มองและเชื่อไปแล้วว่าเขาคือตัวอันตรายของฮอลลีวูด
“คือถ้าใครก็ตามที่เห็นพฤติกรรมอะไรมา แล้วบอกว่า ‘ฉันไม่ชอบ’ ผมก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก เพราะยังไงก็ตาม เพื่อนเกย์ของผมทุกคนบอกผมว่า ‘ที่รัก ชั้นเห็นข้อความของนายแล้วนะ คือมันแค่นี้เองน่ะเหรอ ? ‘ พวกเขาบอกว่า ‘โอ้พระเจ้า ถ้าใครมาแฮกและเปิดแชตจากแอป Grindr ให้เป็นสาธารณะ พวกเราก็คงไม่มีงานทำกันต่อไปแล้วล่ะค่า'”