หลังจากเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ตามเวลาท้องถิ่น เจ้าหน้าที่สำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security Investigations – HSI) ได้นำกำลังบุกเข้าตรวจค้นบ้านพักส่วนตัวของ ฌอน จอห์น คอมบ์ส (Sean John Combs) ศิลปินแรปเปอร์ โปรดิวเซอร์ และเจ้าของค่ายเพลงชาวอเมริกันวัย 54 ปี ที่ใช้ฉายาในวงการเพลงฮิปฮอปนาม พี ดิดดี (P. Diddy) หรือ ดิดดี (Diddy) ในข้อหาการขนส่งข้ามรัฐเพื่อการค้าประเวณี ค้ามนุษย์ และฉ้อโกง ซึ่งมีผู้พบเห็นเขาใช้เครื่องบินเจตส่วนตัวหลบหนีการตรวจค้นในวันเดียวกับที่เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านหลายหลังของเขา

จนกระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. ของวันจันทร์ที่ 16 กันยายน เจ้าหน้าที่สำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิได้เข้าจับกุมดิดดีในโรงแรม Park Hyatt New York ที่ตั้งอยู่บนถนนหมายเลขที่ 57 เมืองแมนฮัตตัน กรุงนิวยอร์ก ซึ่งตามรายงานของ TMZ ได้เปิดเผยว่า ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ดิดดีจะถูกจับกุม เขายังคงออกไปใช้ชีวิตและเดินเล่นในนิวยอร์กตามปกติ และมีแฟนคลับบางคนเข้ามาขอถ่ายรูปด้วย

และแหล่งข่าวจากหน่วยงานผู้บังคับใช้กฎหมายได้เปิดเผยว่า เดิมทีแล้วการจับกุมดิดดีจะเกิดขึ้นในวันอังคารที่ 17 กันยายน แต่กลับถูกเลื่อนมาจับกุมในช่วงค่ำของวันที่ 16 กันยายนแทน ก่อนจะมีการนำตัวฝากขังที่ศาลรัฐบาลกลางของนิวยอร์ก และนำตัวขึ้นพิจารณาคดีในวันต่อมา โดยในการพิจารณาคดี ศาลได้เปิดเผยหลักฐานที่ค้นพบจากการบุกค้นบ้านของเขาเมื่อเดือนมีนาคม อาทิ ยาเสพติดหลายชนิด ปืน AR-15 ที่ถูกลบหมายเลขทะเบียนออกไปจำนวน 3 กระบอก กระสุน แมกาซีน

รวมทั้งหลักฐานที่เชื่อมโยงเขากับกิจกรรมปาร์ตี้อื้อฉาวที่ถูกเรียกว่า ‘Freak Offs’ ที่ดิดดีบังคับขู่เข็ญให้ผู้ชายและผู้หญิงที่ถูกล่อลวงมามีความสัมพันธ์ทางเพศ ตั้งแต่เทปวิดีโอที่บันทึกเหตุการณ์ดังกล่าว รวมทั้งยังพบขวดเบบี้ออยล์ที่คาดว่านำมาใช้ในกิจกรรมทางเพศจำนวนมากกว่า 1,000 ขวดอีกด้วย

ก่อนที่อัยการของศาลรัฐบาลกลางจะปฏิเสธการให้ประกันตัว หลังจากที่ทนายได้ใช้ทรัพย์สินของดิดดีจำนวน 50 ล้านเหรียญ บ้านของเขาในไมอามีเป็นหลักประกัน รวมทั้งยื่นข้อเสนอให้ยึดพาสปอร์ต อนุญาตให้มีการกักบริเวณในบ้าน (House arrest) และยินยอมให้มีการติดตั้งอุปกรณ์ติดตามตัวไว้ตลอดเวลา เนื่องจากมีพฤติกรรมฝ่าฝืน มีประวัติการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีพฤติกรรมที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อสังคม

P. Diddy

ในขณะที่ มาร์ก อักนิฟิโล (Marc Agnifilo) ทนายความของดิดดี ได้แสดงความผิดหวังกับการพิจารณาคดีของศาลกับ TMZ ว่า “เราผิดหวังกับการตัดสินใจดำเนินคดีกับคุณคอมบ์สของสำนักงานอัยการของสหรัฐฯ ซึ่งเราเชื่อว่าเป็นการดำเนินคดีที่ไม่ยุติธรรม ฌอน ดิดดี คอมบ์ส เป็นศิลปินระดับตำนาน เป็นนักธุรกิจที่สร้างตัวขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นหัวหน้าครอบครัวที่รักครอบครัว และเป็นนักบุญที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งใช้ระยะเวลามากกว่า 30 ปีในการสร้างอาณาจักรของเขา ดูแลลูก ๆ ของเขา และทำงานเพื่อยกระดับชุมชนคนผิวสี”

นอกจากนี้ยังกล่าวเสริมด้วยว่า “เขาไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ แต่ก็ไม่ใช่คนที่เลวร้าย ถือเป็นเครดิตของเขา ที่คุณคอมบ์สได้ให้ความร่วมมือในการสืบสวนคดีนี้เป็นอย่างดี เขาย้ายมานิวยอร์กโดยสมัครใจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อเตรียมรับมือกับการต่อสู้ในข้อกล่าวหาเหล่านี้ โปรดสงวนท่าทีของคุณเอาไว้จนกว่าคุณจะได้รับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด นี่เป็นการกระทำของชายผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีอะไรจะต้องปกปิด และเขาก็กำลังรอคอยที่จะล้างมลทินให้กับตัวเองในชั้นศาล”

ที่ผ่านมาในอดีต ดิดดีมักมีประเด็นเกี่ยวกับข่าวอื้อฉาวออกมาเป็นระยะ ๆ อาทิ ในเดือนพฤษภาคม 2017 ซินดี รูเอลลา (Cindy Ruela) อดีตเชฟส่วนตัวของดิดดี ได้ยื่นฟ้องเขาในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ ก่อนจะมีการเจรจายุติการฟ้องร้องด้วยจำนวนเงินที่ไม่เปิดเผยในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2019

และในปี 2003 หญิงคนหนึ่งได้ยื่นฟ้องดิดดี และฮาร์วี ปิแอร์ (Herve Pierre) โปรดิวเซอร์และประธานร่วมของ Bad Boy Records ที่ดิดดีเป็นเจ้าของ โดยเธอกล่าวอ้างว่า ในปี 2003 ตอนที่เธออายุเพียง 17 ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ปิแอร์ได้พาเธอขึ้นเครื่องบินเจตส่วนตัวจากเมืองดีทรอยต์ไปยังนิวยอร์ก ก่อนที่ดิดดี, ปิแอร์ และชายอีกคนหนึ่งจะก่อเหตุข่มขืนเธอ ซึ่งภายหลังปิแอร์ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

16 พฤศจิกายน 2023 แคสซี เวนทูรา (Cassie Ventura) ศิลปินและอดีตแฟนสาวของดิดดีที่พบกันครั้งแรกในปี 2006 และเลิกรากันในปี 2018 ได้ยื่นฟ้องกับศาลในข้อหาค้ามนุษย์และล่วงละเมิดทางเพศ เธอกล่าวอ้างว่า ดิดดีมักทำร้ายเธอด้วยความโกรธที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ รวมทั้งยังบงการชีวิตเธอมานานหลายปี และนอกจากนั้น เขายังบังคับเธอให้เข้าร่วมปาร์ตี้ ‘Freak Offs’ ด้วยการล่อลวงเข้าไปร่วมกิจกรรมที่บังคับให้มีกิจกรรมทางเพศกับชายที่ถูกจ้างมา

รวมทั้งยังบังคับให้เธอดื่มแอลกอฮอล์ ใช้ยาเสพติด ขอใบสั่งยาผิดกฎหมายเพื่อสั่งสารเสพติดให้ตนเองอีกด้วย โดยดิดดีได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา นอกจากนี้ เวนทูรายังเปิดเผยด้วยว่า ในปี 2012 ดิดดีได้กล่าวเชิงข่มขู่ว่าจะวางเพลิงรถยนต์ของ คิด คูดี (Kid Cudi) ศิลปินแรปเปอร์ที่เคยมีความสัมพันธ์กับเธอในระยะสั้น ๆ ด้วย ในขณะที่เวนทูราเองก็เกรงกลัวอิทธิพลของเขาจนไม่กล้าที่จะเปิดเผยเรื่องนี้กับใคร

17 พฤษภาคม 2024 เว็บไซต์ CNN ได้เผยแพร่วิดีโอจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม InterContinental Hotel ในลอสแองเจลิสเมื่อปี 2016 ซึ่งเผยให้เห็นจังหวะที่ดิดดีซึ่งนุ่งผ้าขนหนูอยู่ กำลังวิ่งไล่ตามเวนทูราไปตามโถงทางเดินของโรงแรม ก่อนที่เขาจะตรงเข้าไปทำร้ายเธอในลิฟต์ และพยายามฉุดกระชากเธอกลับไปยังห้องพัก รวมทั้งยังมีจังหวะที่ดิดดีขว้างแจกันดอกไม้ใส่บางคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเวนทูราด้วย จนกระทั่งไม่กี่วันหลังวิดีโอถูกเผยแพร่ ดิดดีได้ออกแถลงการณ์ผ่าน Instagram ของเขาเพื่อขอโทษสำหรับพฤติกรรมของตัวเอง

โดยในเอกสารคำฟ้องของศาลจำนวน 14 หน้าที่อัยการได้นำออกมาเปิดเผยหลังการจับกุม ส่วนหนึ่งได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับปาร์ตี้ที่ถูกเรียกว่า ‘Freak Offs’ ที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี 2009 ซึ่งดิดดีได้ทำการล่อลวงและวางยาเหยื่อที่เป็นชายและหญิงมาเข้าร่วมปาร์ตี้ ก่อนจะบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับชายและหญิงที่ถูกจ้างมา โดยให้มีเพศสัมพันธ์อยู่ในห้องที่จัดเตรียมเอาไว้เป็นเวลาหลายวัน ซึ่งระหว่างนั้นดิดดีจะนั่งดูอยู่ด้วย พร้อมกับมีการบันทึกวิดีโอเอาไว้เพื่อนำไปใช้ข่มขู่เหยื่อ รวมทั้งผู้ร่วมงานทุกคนไม่ให้เอาไปเปิดเผยแก่คนอื่น ๆ และหลังจากมีกิจกรรมทางเพศ จะมีการฉีดสารบางอย่างเข้าทางเส้นเลือดเพื่อให้เหยื่อฟื้นตัว และบังคับให้มีกิจกรรมทางเพศต่อไปได้เรื่อย ๆ

ตลอดเวลา 30 ปีในวงการบันเทิง ดิดดีกลายเป็นผู้ที่ถูกมองว่ามีอิทธิพลในวงการเพลง รวมถึงวงการบันเทิงฮอลลีวูดอีกคนของวงการ สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงอิทธิพลของเขาได้เป็นอย่างดีก็คือการจัดปาร์ตี้ที่มีชื่อว่า ‘White Party’ หรือปาร์ตี้ชุดขาวขึ้นเป็นประจำมาตั้งแต่ปี 1998 และจัดเป็นครั้งสุดท้ายในปี 2009 ซึ่งแต่ละปีมีคนที่มีชื่อเสียงในฮอลลีวูด รวมทั้งวงการเพลง และผู้บริหารระดับสูงมาร่วมงานมากมาย คนดังส่วนหนึ่งที่เคยเข้าร่วม White Party มีตั้งแต่ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio), โคลอี คาร์เดเชียน (Khloe Kardashian) และ ปารีส ฮิลตัน (Paris Hilton) ซึ่งพอมีข่าวเกี่ยวกับ ‘Freak Offs’ ซึ่งเป็นปาร์ตี้ลับถูกเปิดเผยออกมา จึงทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่าปาร์ตี้ทั้ง 2 งานมีความเกี่ยวข้องกันมากน้อยแค่ไหน

หลังจากการฟ้องร้อง ทำให้มีคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ออกมาเปิดเผยตัวอีกมากมาย ตั้งแต่ ดอว์น ริชาร์ด (Dawn Richard) อดีตสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป ‘Danity Kane’ ภายใต้สังกัด Bad Boy Records ได้ยื่นฟ้องดิดดีในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเธอมาตั้งแต่ปี 2004 รวมทั้งยังเปิดเผยว่าเธอเคยพบเห็นเขาทำร้ายร่างกายเวนทูราในปี 2009 ทั้งบีบคอ ผลักตัวกระแทกกำแพง และลากขึ้นบันได ในปี 2009 – 2011 ริชาร์ดกล่าวอ้างว่าดิดดีแตะเนื้อต้องตัวเธอ และเคยสั่งให้เธอเลิกยุ่งกับเขาและเวนทูรา ก่อนที่เขาจะใช้อำนาจบังคับให้เธออัดเพลงในสตูดิโอยาวนานถึง 48 ชั่วโมงจนเธอล้มป่วย รวมทั้งยังเคยจับเธอขังเอาไว้ในรถที่มีกระจกดำปิดทึบ จนเธอต้องโทรเรียกพ่อให้มารับ ก่อนที่เขาจะพูดข่มขู่พ่อของเธอให้ระวังอาชีพการงานของลูกสาวเอาไว้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีเหยื่ออีกมากมายที่อ้างว่าเคยถูกดิดดีก่อเหตุในลักษณะคล้าย ๆ กัน ตั้งแต่การล่วงละเมิดทางเพศ แบล็กเมล เหยื่อบางคนกล่าวหาว่าเขาได้กระทำการข่มขืนและบันทึกวิดีโอเอาไว้ ลิล ร็อด (Lil Rod) โปรดิวเซอร์ได้ออกมาเปิดเผยว่า เขาเคยถูกดิดดีวางยา ล่วงละเมิดทางเพศ และบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับโสเภณี ในขณะที่อดีตพนักงานคนหนึ่งได้ยื่นฟ้องลูกชายของดิดดี ซึ่งดิดดีได้สนับสนุนให้ลูกชายของเขาล่วงละเมิดทางเพศเธอ ก่อนจะจ่ายเงินเพื่อปิดปาก รวมทั้งนักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งที่ออกมายื่นฟ้องว่าเคยถูกดิดดีล่วงละเมิดทางเพศในช่วงปี 1990-2000

Sean John Combs P. Diddy
REUTERS

โดยในคำร้องของศาลยังได้ระบุด้วยว่า ดิดดีได้ก่อเหตุทำร้าย คุกคาม บังคับผู้หญิงและคนอื่น ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศ รวมทั้งปกปิดพฤติกรรมของเขามาตั้งแต่ปี 2008 เป็นอย่างน้อย รวมทั้งพยายามใช้อิทธิพลของตนเองในการสร้างสิ่งที่เรียกว่าเป็นองค์กรอาชญากรรม ที่มีบุคคลอยู่เบื้องหลังในการก่อเหตุอาชญากรรมต่าง ๆ ตั้งแต่การค้าประเวณี การบังคับใช้แรงงาน การลักพาตัว การวางเพลิง การติดสินบน และขัดขวางกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง อาจทำให้ดิดดีได้โทษจำคุก 15 ปี จนถึงได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต

ผลพวงหลังจากที่ดิดดีถูกจับ กลายเป็นข่าวที่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งวงการเพลง และมีการออกมาเปิดเผยถึงศิลปินหลายคนที่อาจเคยมีส่วนร่วมกับปาร์ตี้นี้ หรือแม้แต่คนที่อาจเคยตกเป็นเหยื่อ 1 ในนั้นก็คือ จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) ซึ่งมีคลิปวิดีโอที่กลายเป็นไวรัล โดยคลิปความยาว 26 วินาทีนี้เป็นภาพที่ดิดดียื่นแก้วสุราให้จัสตินคุกเข่าดื่ม รวมทั้งยังมีภาพที่ทั้ง 2 คนเต้นรำอยู่ในงานปาร์ตี้อย่างสนิทสนม

ส่วนอีกคลิปที่เป็นไวรัลก็คือคลิป ‘JUSTIN BIEBER’s 48 HRS with DIDDY!!’ ซึ่งเป็นคลิปที่ถูกถ่ายไว้ตั้งแต่ปี 2009 ตอนที่บีเบอร์อายุ 15 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เขาเพิ่งจะเข้าวงการ และก่อนที่ ‘My World’ (2009) อัลบั้ม EP แรกในชีวิตของบีเบอร์จะวางแผง เนื้อหาในคลิปเป็นภาพของบีเบอร์ที่ใช้ชีวิตร่วมกับดิดดี ในคลิปดิดดีได้กล่าวว่า เขาได้รับสิทธิ์ในการดูแลบีเบอร์ และบีเบอร์ได้เซ็นสัญญากับอัชเชอร์ (Usher) รวมทั้งยังพูดด้วยว่า เขากับบีเบอร์กำลังจะใช้ชีวิตด้วยกันเป็นเวลา 48 ชั่วโมง

ชาวเน็ตยังแชร์ภาพที่บันทึกจากมิวสิกวิดีโอเพลง “Yummy” ของบีเบอร์ ซึ่งมีช็อตหนึ่งที่ปรากฏภาพงานปาร์ตี้ที่มีผู้สูงอายุมาร่วมงาน ก่อนจะปรากฏภาพจานเค้กที่มีลวดลายภาพของบีเบอร์ในวัย 15 ปี พร้อมข้อความ ‘Yummy’ ที่อยู่ด้านล่าง จนทำให้มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าบีเบอร์อาจต้องการแฝงสัญญะถึงตัวเขาที่เคยถูกดิดดีล่วงละเมิดทางเพศมาก่อน

รวมทั้งคลิปบทสัมภาษณ์ของบีเบอร์ที่ปล่อยออกมาในปี 2020 ซึ่งเขาได้พูดถึงศิลปินรุ่นน้อง บิลลี ไอลิช (Billie Eilish) ที่กำลังโด่งดังหลังเปิดตัวอัลบั้มแรก ‘When We All Fall Asleep, Where Do We Go ?’ (2019) ซึ่งเป็นแฟนตัวยงของเขา โดยบีเบอร์ได้ติดต่อไปหาเธอเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับวงการเพลงแก่เธอในฐานะศิลปินรุ่นพี่ โดยส่วนหนึ่งเขาได้กล่าวทั้งน้ำตาว่า “ผมแค่อยากจะปกป้องเธอ ผมไม่อยากจะให้เธอต้องไปเจออะไรแบบที่ผมเคยเจอ ผมไม่อยากให้ใครต้องเจอแบบนั้น” ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่อัชเชอร์สนิทสนมกับดิดดี และมีภาพที่บีเบอร์ไปงานปาร์ตี้หลายครั้ง และหลังจากนั้นก็มีหลายคนสังเกตเห็นบีเบอร์ที่เริ่มมีอาการเศร้าหมองจากการถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ จนทำให้ชีวิตของเขาเริ่มออกนอกลู่นอกทาง

ในขณะที่มีผู้เผยแพร่คลิปที่ จากัวร์ ไรต์ (Jaguar Wright) ศิลปินและนักแต่งเพลงได้ออกมาเปิดเผยว่า ดิดดีพยายามจะครอบงำตัวของบีเบอร์ จนกระทั่งได้อัชเชอร์เข้ามาเป็นผู้ดูแลแทน และยังเปิดเผยว่า ดิดดีพยายามจะควบคุมบีเบอร์ เพื่อแลกกับการเข้าสู่เส้นทางบันเทิง รวมทั้งยังเคยบันทึก Sex Tape ของบีเบอร์ รวมทั้งคนดังอีกหลายคน อาทิ คริส บราวน์ (Chris Brown), นิกกี มินาจ (Nicki Minaj), ริฮานนา (Rihanna) และเดรก (Drake) ไปขายต่อในตลาดมืดด้วยตัวเลข 500 ล้านเหรียญ

โดยหลังจากที่มีข่าวการจับกุมของดิดดี มีผู้สังเกตเห็นพบว่ามีศิลปินหลายคนได้ทยอย Unfollow โซเชียลมีเดียของดิดดีไปหลายคน รวมทั้งโพสต์ต่าง ๆ ในบัญชี X ของอัชเชอร์ก็ถูกลบออกไปจนหมดด้วย จนทำให้มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า อัชเชอร์ รวมทั้งศิลปินหลาย ๆ คนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับปาร์ตี้ที่ดิดดีจัดขึ้นหรือไม่ ในขณะที่อัชเชอร์ได้ออกมาแก้ข่าวที่โพสต์ของเขาโดนลบเพราะว่าบัญชีของเขาถูกแฮก ซึ่งหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า อาจมีศิลปินอีกหลายคนที่มีส่วนร่วมกับปาร์ตี้นี้ก็เป็นได้

ในขณะที่มีรายงานว่า Luminate บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติได้เปิดเผยว่า เพลงของดิดดีมียอดฟังบน Music Streaming เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18.3% ในสัปดาห์ที่มีข่าวว่าเขาถูกจับกุม เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านั้น