เมื่อวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security Investigations – HSI) ได้บุกเข้าจับกุม ฌอน จอห์น คอมบ์ส (Sean John Combs) ศิลปินแรปเปอร์ โปรดิวเซอร์ และเจ้าของค่ายเพลง Bad Boy Records วัย 54 ปี ที่ใช้ฉายาในวงการเพลงฮิปฮอปนาม พี ดิดดี (P. Diddy) หรือ ดิดดี (Diddy) ในข้อหาการขนส่งข้ามรัฐเพื่อการค้าประเวณี ค้ามนุษย์ และฉ้อโกง ในโรงแรม Park Hyatt New York เมืองแมนฮัตตัน
ซึ่งในเอกสารคำฟ้องจำนวน 14 หน้าที่อัยการได้นำมาเปิดเผย ได้มีการพบหลักฐานจากการตรวจค้นบ้าน รวมทั้งหลักฐานอาทิ เบบี้ออยล์จำนวนมากกว่า 1,000 ขวดที่คาดว่าน่าจะนำมาใช้ในกิจกรรมทางเพศ รวมทั้งคลิปวิดีโอที่บันทึกกิจกรรมปาร์ตี้อื้อฉาวที่ถูกเรียกว่า ‘Freak Offs’ อีกด้วย โดยในขณะนี้ดิดดีถูกนำตัวไปฝากขัง หลังจากที่อัยการยังได้ปฏิเสธการประกันตัว พร้อมกับการเฝ้าระวังการก่อเหตุอัตวินิบาตกรรมในห้องขังอย่างเข้มงวด (สามารถอ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติมได้ที่นี่)
ล่าสุด เรื่องราวข่าวอื้อฉาวของดิดดี รวมถึงเรื่องราวผลกระทบของเหล่าเหยื่อมากมายหลายคนที่เกี่ยวข้องกับเขากำลังจะถูกนำมาตีแผ่ในรูปแบบซีรีส์สารคดีที่เผยแพร่ไปทั่วโลกผ่านทาง Netflix โดย Variety ได้รายงานว่า เคอร์ติส แจ็คสัน (Curtis Jackson) แรปเปอร์เจ้าของฉายาในวงการฮิปฮอป ฟิฟตีเซนต์ (50 Cent) และนักธุรกิจ ได้เปิดเผยว่า Netflix ได้ทำการซื้อสิทธิ์การสร้างและฉายสารคดีคดีความอื้อฉาวของดิดดี
โดย 50 Cent จะเข้ามาเป็น Executive Producer ในฐานะผู้บริหารของ G-Unit Films and Television Inc. บริษัทโปรดักชันผลิตภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ของเขาเอง และได้ อเล็กซานเดรีย สเตเปิลตัน (Alexandria Stapleton) ผู้กำกับซีรีส์สารคดี ‘Reggie’ (2023) ของ Prime Video และสารคดีเกี่ยวกับวงการการละเมิดลิขสิทธิ์เพลง ‘How Music Got Free’ ที่ฉายในปีนี้มาเป็นผู้กำกับ และทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ ซึ่งมีบริษัท House of Nonfiction ที่เธอก่อตั้ง รวมทั้งบริษัท Texas Crew Productions เข้ามาร่วมผลิตด้วย ซึ่งในขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนระหว่างการผลิต และยังเปิดเผยว่า รายได้จากสารคดีชุดนี้จะถูกนำไปใช้ในการช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศด้วย
50 Cent และสเตเปิลตัน กล่าวกับ Variety เกี่ยวกับสารคดีดังกล่าวว่า “นี่คือเรื่องราวที่มีผลกระทบต่อมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ เป็นการเล่าเรื่องอันซับซ้อนที่กินระยะเวลามานานหลายทศวรรษ ไม่ใช่แค่พาดหัวข่าวหรือคลิปที่เห็น ๆ กันในตอนนี้ เรายังคงยืนหยัดในการมอบเสียงให้กับผู้ที่ไม่มีปากเสียง และนำเสนอความคิดเห็นที่แท้จริงและละเอียดอ่อน แม้ว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้นจะเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจ แต่เราอยากขอเรียกร้องให้ทุกคนได้ระลึกเอาไว้อยู่ตลอดว่า เรื่องราวของ ฌอน คอมบ์ส ไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดของฮิปฮอปและวัฒนธรรมนี้ เรามุ่งมั่นที่จะทำให้การกระทำของบุคคล ไม่ไปบดบังการมีส่วนร่วมอันกว้างขวางของวัฒนธรรมนี้”
50 Cent และบริษัท G-Unit ของเขาได้ประกาศว่าจะมีการสร้างสารคดีชุดนี้มาตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม ปี 2023 หลังจากที่ แคสซี เวนทูรา (Cassie Ventura) ศิลปินและอดีตแฟนสาวของดิดดีที่พบกันครั้งแรกในปี 2006 และเลิกรากันในปี 2018 ได้ยื่นฟ้องดิดดีในเดือนพฤศจิกายน ในข้อหาค้ามนุษย์และล่วงละเมิดทางเพศ รวมทั้งยังทำร้ายร่างกายเธอ และบังคับล่อลวงเธอให้เข้าร่วมปาร์ตี้ ‘Freak Offs’ ก่อนที่จะมีการตกลงยอมความกันในเวลาต่อมา
คดีดังกล่าวทำให้ผู้หญิงอีก 4 คนที่อ้างว่าเป็นเหยื่อของดิดดีเริ่มทยอยออกมาฟ้องร้องเขาด้วยเช่นกัน รวมทั้ง ลิล ร็อด (Lil Rod) โปรดิวเซอร์ได้ออกมาเปิดเผยว่า เขาเคยถูกดิดดีวางยา ล่วงละเมิดทางเพศ และบังคับให้มีเพศสัมพันธ์กับโสเภณี ในเวลานั้น 50 Cent ได้แชร์คลิปวิดีโอการสัมภาษณ์ของ มาร์ก เคอร์รี (Mark Curry) ศิลปินแรปเปอร์สังกัด Bad Boy Records ได้ออกมาเปิดเผยว่า ดิดดีมักมีพฤติกรรมวางยาในขวดแชมเปญในงานปาร์ตี้เพื่อล่อลวงให้ผู้หญิงดื่ม
นอกจากนี้ เกรซ โอ มาร์เคจ (Grace O’Marcaigh) ได้ออกมาฟ้องร้องกล่าวหาว่า คริสเตียน คอมบ์ส (Christian Combs) ลูกชายของดิดดีได้บังคับให้เธอทำออรัลเซ็กซ์ให้ในขณะที่กำลังทำงานเป็นสจ๊วตบนเรือยอช์ต และดิดดีได้จ่ายเงินให้กัปตันเรือยอช์ตเป็นค่าปิดปาก รวมทั้ง คริสตัล แม็กคินนีย์ (Crystal McKinney) นางแบบ ได้กล่าวหาว่าดิดดีเคยล่วงละเมิดทางเพศเธอในปี 2003 รวมทั้ง ดอว์น ริชาร์ด (Dawn Richard) อดีตสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป ‘Danity Kane’ ภายใต้สังกัด Bad Boy Records ได้ยื่นฟ้องดิดดีในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ รวมทั้งทำร้ายร่างกายและจิตใจเธอมาตั้งแต่ปี 2004
จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม 2024 เว็บไซต์ CNN ได้เผยแพร่วิดีโอจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม InterContinental Hotel ในลอสแองเจลิสเมื่อปี 2016 ซึ่งเผยให้เห็นจังหวะที่ดิดดีวิ่งไล่ตามเวนทูราไปตามโถงทางเดินของโรงแรม ก่อนที่เขาจะตรงเข้าไปทำร้ายเธอในลิฟต์ และพยายามฉุดกระชากและทำร้ายร่างกาย รวมทั้งหยิบฉวยแจกันดอกไม้ของโรงแรมเขวี้ยงใส่ด้วย ซึ่งนั่นถือเป็นครั้งเดียวที่เขาออกมาขอโทษผ่านทาง Instagram ในขณะที่เขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
จุดเริ่มต้นความดราม่าของ 50 Cent และดิดดีเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2006 หลังจากที่เขาได้ปล่อยซิงเกิล “The Bomb” ซึ่งเป็นเพลงที่เขาแต่งเพื่อ Diss กับดิดดี โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งได้กล่าวหาว่าดิดดีมีส่วนรู้เห็นกับคดีฆาตกรรม คริสโตเฟอร์ วอลเลซ (Christopher Wallace) หรือแรปเปอร์ฉายา Notorious B.I.G. ที่ถูกยิงเสียชีวิตในปี 1997 Rhyme ส่วนหนึ่งพูดถึงดิดดีว่า “ใครยิง Biggie Smalls วะ ? ไม่เข้าใจเลย / พวกมันจะฆ่าเราทุกคนด้วย เฮ้ยนาย ไอ้ Puffy มันรู้ว่ะว่าใครยิงไอ้มืดนั่น”
นอกจากนี้ เขายังออกมากล่าวหาว่า เขาเชื่อว่าดิดดีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมศิลปินแรปเปอร์อีกคนอย่าง ทูพัค ชาเคอร์ (Tupac Shakur) เมื่อปี 1996 อีกด้วย ก่อนที่ดิดดีจะออกมาให้สัมภาษณ์ตอบโต้ประเด็นดังกล่าวในปี 2016 ว่าเป็นเรื่องไร้สาระ และเขาเองก็ไม่เคยถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับคดีความดังกล่าวแต่อย่างใด
และในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คริสเตียน หรือ คิง คอมบ์ส (King Combs) ได้ปล่อยเพลง “Pick A Side” ออกมา Diss กลับ 50 Cent ซึ่งในเนื้อเพลงมีการกล่าวโจมตีตัวของ 50 Cent รวมทั้งการพูดถึงมุก ‘No Diddy’ ซึ่งเป็นคำสแลงที่เกิดขึ้นหลังจากที่ดิดดีมีคดีความ รวมถึงพฤติกรรมรักร่วมเพศของเขา โดยคำว่า ‘No Diddy’ หมายถึงว่าไม่ได้เป็นคนรักร่วมเพศ ซึ่งเป็นคำที่ 50 Cent ใช้โจมตีดิดดี
และหลังจากนั้น 50 Cent ก็มักจะใช้โซเชียลมีเดียในการออกมาโจมตีเกี่ยวกับคดีความของดิดดีอยู่บ่อยครั้ง อาทิ ตอนที่มีการเปิดเผยคลิปทำร้ายร่างกายเวนทูรา 50 Cent ก็ออกมาโพสต์คลิปดังกล่าวพร้อมข้อความในเชิงประชดประชันว่า “ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่า Puffy (ดิดดี) ไม่ได้เป็นคนทำแน่ ๆ เขาบริสุทธิ์ ทนายของเขาจะบอกแน่นอนว่า ไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันได้ ! ขอพระเจ้าโปรดช่วยพวกเราด้วย”
หลังจากที่ดิดดีโดนจับกุม 50 Cent ก็ไม่พลาดที่จะออกมาแซะถึงคดีของดิดดีอีกมากมาย ตั้งแต่การโพสต์ภาพขวดเบบี้ออยล์ที่สื่อถึงขวดเบบี้ออยล์จำนวนนับ 1,000 ขวดที่พบในบ้านของเขา รวมทั้งโพสต์ภาพของเขาที่ถ่ายร่วมกับ ดรูว์ แบร์รีมอร์ (Drew Barrymore) พร้อมข้อความว่า “ตอนนี้ผมยังเป็นเพื่อนที่ดีกับ ดรูว์ แบร์รีมอร์ อยู่ และผมก็ไม่มีขวดเบบี้ออยล์ 1,000 ขวดที่บ้านด้วยนะ”
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา 50 Cent ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการผลิตสารคดีเกี่ยวกับคดีความของดิดดีที่ Netflix ชนะการประมูลกับ The Hollywood Reporter ถึงตอนที่เขาได้พบกับดิดดีครั้งแรกในฐานะศิลปินอิสระ และมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงหลายเพลงให้กับดิดดี รวมทั้ง “Let’s Get It” ซิงเกิลฮิตของดิดดีที่ปล่อยออกมาในปี 2001 รวมทั้งงานปาร์ตี้ชุดขาว หรือ ‘White Party’ ซึ่งเป็นปาร์ตี้ที่จัดขึ้นตั้งแต่ปี 1998 จนถึงปี 2009 ซึ่งเป็นปาร์ตี้ที่มีคนดังมาร่วมงานมากมาย
“ผมเคยพูดชัดเจนว่าผมไม่ไปร่วมงานปาร์ตี้ของ Puffy หรืออะไรแบบนั้น ผมเลี่ยงสิ่งเหล่านี้มานานหลายปีแล้ว มันมีพลังงานที่ไม่ค่อยน่าสบายใจที่เชื่อมโยงอยู่กับมัน”
50 Cent ยังพูดถึงคลิปที่ดิดดีทำร้ายเวนทูรา ซึ่งถูกปล่อยออกมา “ตอนแรกเขาปฏิเสธในเรื่องนั้น แต่หลังจากนั้นเทปก็ถูกปล่อยออกมา ซึ่งหมายความว่าทุกอย่างที่ไอ้มืดนั่นพูดเป็นเรื่องโกหก ตอนที่คนได้ดูวิดีโอนั้น และลองจินตนาการว่าลูกสาวของพวกเขาอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น มันเป็นเรื่องที่บ้ามาก บ้าโคตร ๆ พวกเขาปล่อยให้มันรอดได้ด้วยอิทธิพลและอำนาจทั้งหมดที่มันมี คนที่คุณอยากอยู่ด้วยต้องอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณสิ ไม่ใช่ถูกบังคับแบบนั้น”