อย่างที่ทราบกันดีว่า จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) นักแสดงมาดเซอร์ขวัญใจผู้ชมจากหลากหลายบทบาท กำลังอยู่ในระหว่างการกลับเข้ามาสู่วงการฮอลลีวูด หลังจากที่เขาต้องเผชิญกับมรสุมคดีความที่อดีตภรรยานักแสดง แอมเบอร์ เฮิร์ด (Amber Heard) กล่าวหาว่าใช้ความรุนแรง รวมทั้งมรสุมระลอกแรกที่เกิดจากการแพ้คดีหมิ่นประมาทที่เขาฟ้อง The Sun หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของประเทศอังกฤษ ที่ลงข่าวพาดหัวโจมตีว่าเป็นคนตีเมีย ยิ่งส่งผลให้อาชีพนักแสดงระดับ A-List ของเขาถูกสกัดดาวรุ่งมานานถึง 6 ปี
ผลพวงจากคดีความครั้งนั้นส่งผลให้เดปป์ถูกฮอลลีวูดคว่ำบาตร ทำให้เขาสูญเสียบทบาทจากหนังแฟรนไชส์ระดับบล็อกบัสเตอร์ไปถึง 2 เรื่อง จนต้องหันไปรับงานแสดงในหนังฟอร์มเล็ก และงานหนังในยุโรปแทน จนกระทั่งฟ้าหลังฝนก็มาถึงในปี 2022 เมื่อศาลตัดสินให้เดปป์ชนะคดีหมิ่นประมาทในกรณีที่เฮิร์ดเขียนบทความโจมตีเขาผ่านเว็บไซต์ Washington Post ทำให้ข่าวคราวของเดปป์เริ่มกลับมาเป็นที่สนใจของฮอลลีวูดและบรรดาแฟน ๆ อีกครั้งแบบค่อยเป็นค่อยไป
ล่าสุด เดปป์ได้มีโอกาสเปิดใจกับ The Hollywood Reporter เกี่ยวกับผลงานหนังเรื่องใหม่ ‘Modì, Three Days on the Wing of Madness’ ซึ่งเป็นการกลับมารับหน้าที่กำกับและเป็นโปรดิวเซอร์ในรอบ 25 ปี หลังจากที่เคยกำกับหนังเรื่องแรกมาแล้วใน ‘The Brave’ (1997) โดยหนังเรื่องนี้เป็นหนังดราม่าชีวประวัติของศิลปินชาวอิตาลี อเมดีโอ โมดิลยานี (Amedeo Modigliani)
เดปป์ได้เปิดใจเล่าถึงชีวิตที่ต้องผ่านมรสุมชีวิต เฉกเช่นเดียวกับชีวิตสุดห่ามระห่ำของโมดิลยานี แต่เขาเองก็ไม่ได้คิดโกรธเคืองฮอลลีวูดหรือใครผู้ใดอีกต่อไป แม้เขาจะเคยถูกฮอลลีวูดพากันกาหัวออกจากวงการมาแล้วก็ตาม
“เอาจริง ๆ แล้ว ณ ตอนนี้ผมสามารถนั่งคิดถึงข่าวที่ต้องการโจมตีผมให้เสียหาย หรือนึกไปถึงใครก็ตามที่เคยต่อต้านหรือโจมตีผม อยากให้ผมหายสาบสูญไปจากวงการ ทั้งหมดนั่นมันเยอะมาก ผมจำได้ทุกอย่าง ผมผ่านมาทุกอย่างแล้ว บางช่วงเวลามันก็ไม่ได้สวยงามนัก บางเวลามันก็ช่างน่าตลก บางช่วงมันก็ช่างบ้าบอเสียเหลือเกิน”
หลังจากที่เดปป์หย่าขาดกับอดีตภรรยามาตั้งแต่ปี 2017 และมีเรื่องราวฟ้องร้องกันมาหลายคดี แต่ที่กลายเป็นจุดพลิกผันแรกของเดปป์ก็คือ การที่เขาแพ้คดีฟ้องร้องข้อหาหมิ่นประมาทหนังสือพิมพ์ The Sun ต่อศาลของอังกฤษ หลังจากที่หนังสือพิมพ์ได้พาดหัวข่าวใหญ่กล่าวหาว่าเดปป์เป็นคนชอบทุบตีเมีย (Wife Beater) โดยศาลให้เหตุผลตามคำพิพากษาว่า การพาดหัวข่าวนั้นไม่ได้ส่งผลเสียหายต่ออาชีพการแสดงของเดปป์อย่างมีนัยสำคัญ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับส่งผลต่ออาชีพนักแสดงของเดปป์อย่างมีนัยสำคัญอย่างร้ายแรง เพราะหลังจากแพ้คดี เดปป์ต้องเผชิญกับแรงกระแสต่อต้านโดยทันที และที่กลายเป็นข่าวใหญ่ก็คือ การถูกปลดออกจากบทบาทนำในแฟรนไชส์หนังบล็อกบัสเตอร์ของ 2 สตูดิโอยักษ์ใหญ่ ทั้งการถูกขอให้ถอนตัวจากบทบาท แจ็ก สแปร์โรว์ จากแฟรนไชส์ ‘Pirates of the Caribbean’ ของ Disney ที่เคยสร้างชื่อให้เขากลายเป็นศิลปินแถวหน้าจากการรับบทนี้ต่อเนื่อง 4 ภาค
และเดปป์ยังถูกปลดกลางอากาศ จากบทบาทพ่อมดวายร้าย เกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ จากแฟรนไชส์ ‘Fantastic Beasts’ ของ Warner Bros. ที่เขาฝากฝีมือการแสดงไว้ใน 2 ภาคแรก ทำให้ภาคล่าสุด ‘Fantastic Beasts: The Secrets of Dumbledore’ (2022) ต้องมีการเปลี่ยนตัวให้ แมดส์ มิกเกลเซน (Mads Mikkelsen) มารับบทแทน แม้ว่ามิกเกลเซนจะได้รับคำชมในการรับบทนี้ แต่สุดท้ายด้วยความล้มเหลวของตัวหนัง ก็ทำให้สตูดิโอพับแผนการสร้างภาคต่อไปอย่างถาวร
นอกจากนี้ หนังชีวประวัติช่างภาพข่าวในสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อง ‘Minamata’ (2020) ที่เดปป์รับบทเป็น วิลเลียม ยูจีน สมิธ (William Eugene Smith) และรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ก็ถูกสตูดิโอสั่งเลื่อนการฉายออกไปแบบไม่มีกำหนด กว่าจะเข้าฉาย กระแสของตัวหนังก็เงียบไปตามกระแสของเดปป์ที่ถูกคว่ำบาตร และทำรายได้ทั่วโลกไปเพียง 1.7 ล้านเหรียญ
ณ ช่วงเวลาที่เดปป์กำลังกลับเข้าสู่ฮอลลีวูดอีกครั้ง ล่าสุดมีข่าวออกมาว่า ใน ‘Pirates of the Caribbean’ ที่จะเริ่มถ่ายทำในปี 2025 และได้ เจอร์รี บรักไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer) โปรดิวเซอร์ของแฟรนไชส์กลับมาคุมงานสร้าง และได้รับการยืนยันว่า เดปป์น่าจะไม่ได้กลับมารับบทโจรสลัดมาดเพี้ยนอีกต่อไปอย่างแน่นอน
ส่วนในด้านการศิลปิน เดปป์ได้ข้ามฝั่งไปรับบทเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ใน ‘Jeanne Du Barry’ (2023) รวมทั้งการออกเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตกับวงดนตรี ‘The Hollywood Vampires’ ของเขาเอง และออกผลงานอัลบั้ม ‘18’ (2022) ร่วมกับ เจฟฟ์ เบ็ก (Jeff Beck)
และกำลังเตรียมรับบทในหนังเรื่องใหม่ ‘Carnival at the End of Days’ ที่กำกับโดย เทอร์รี กิลเลียม (Terry Gilliam) โดยเดปป์จะรับบทเป็นซาตานที่กำลังจะหยุดแผนล้างโลกของพระเจ้าที่รับบทโดย เจฟฟ์ บริดเจส (Jeff Bridges) สมทบด้วยนักแสดงอีกมากมาย อาทิ อดัม ไดร์เวอร์ (Adam Driver), เจสัน โมโมอา (Jason Momoa) และ เอซา บัตเตอร์ฟิลด์ (Asa Butterfield) โดยจะเริ่มเปิดกล้องถ่ายทำในเดือนมกราคม ปี 2025
ครั้งหนึ่ง เดปป์เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่ได้รู้สึกว่าฮอลลีวูดทิ้งเขา เพราะเขาเองไม่ได้นึกถึง และไม่ได้ต้องการฮอลลีวูดอีกต่อไป และเขาเองก็ไม่ได้มีความสนใจต้องการจะกลับไปร่วมงานกับสตูดิโอยักษ์ใหญ่ที่เคยคว่ำบาตรเขาอีกต่อไป
แต่ถึงกระนั้น ในบทสัมภาษณ์เดียวกัน เดปป์ยังเปิดใจต่อไปอีกว่า ทุกวันนี้เขาเองเข้าใจและยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และไม่ได้ต้องการแบกรับความเกลียดชังและคว่ำบาตรจากฮอลลีวูดมาใส่ใจอีกต่อไป
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว และมันก็จะกลายเป็นอดีตไป สำหรับผม เมื่อสิ่งนี้มันเกิดขึ้นแล้ว ผมก็แค่ต้องเรียนรู้กับมันไป ทุกอย่างที่เราประสบพบเจอ ไม่ว่าวันนั้นคุณจะแค่ได้กินน้ำแข็งไส หรือพาหมาออกไปเดินเล่นก็ตาม เราสามารถเรียนรู้อะไรบางอย่างได้จากระหว่างทางเสมอ”
“ตังนั้น ผมเลยไม่ได้มีความรู้สึกแย่ต่อใคร และไม่มีความเกลียดชังอีกต่อไป เพราะความเกลียดชัง หมายถึงการที่คุณให้ความใส่ใจกับสิ่งนั้น แล้วทำไมผมจะต้องไปแบกรับมันเอาไว้กับตัวด้วยล่ะ ?”