จอช โบรลิน (Josh Brolin) นักแสดงหนุ่มใหญ่ที่มีผลงานการแสดงมาแล้วมากมายตั้งแต่ยุค 80s ก่อนจะกลับมาเฉิดฉายอีกครั้งในยุค 2000 จากการแสดงในหนัง ‘No Country for Old Men’ (2007) และได้เข้าชิงรางวัลออสการ์จากหนังชีวประวัติ ‘Milk’ (2008) รวมทั้งยังมีผลงานในหนังของ Marvel ทั้ง Cable ใน ‘Deadpool 2’ (2018) และรับบทเป็นธานอส (Thanos) วายร้ายตัวเป้งแห่งยุค Infinity War ใน ‘Avengers’ ของ MCU และรับบทในหนังไซไฟมหากาพย์ ‘Dune’ ทั้ง 2 ภาค

แต่เรื่องหนึ่งที่หลายคนยังไม่รู้ก็คือ เขาเองเป็นคนที่มีปัญหา และพยายามเข้ารับการต่อสู้กับยาเสพติดอย่างหนัก โดยเฉพาะอาการติดนิโคตินที่เขายังคงต่อสู้มาจนถึงปัจจุบันด้วยหลากหลายวิธี รวมถึงวิธีการแปลก ๆ โบรลินได้เปิดใจเล่าในพอดแคสต์ WTF with Marc Maron ว่า ณ ตอนนี้ เขาบำบัดอาการติดนิโคตินด้วยการใช้ถุงนิโคติน (Nicotine Pouches) อยู่ แต่แทนที่จะช่วยบำบัด กลายเป็นว่าเขาดันติดถุงนิโคติน จนต้องใส่เอาไว้ในปากตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งตอนนอนหลับ แม้แต่ตอนสัมภาษณ์เขาก็ยังหยิบมันเข้าปาก

Josh Brolin Ryan Gosling Gangster Squad

“(เลียนเสียงเคี้ยวเหมือนมีถุงนิโคตินอยู่ในปาก) ภรรยาผมมักจะได้ยินเสียงแบบนี้ตอนกลางดึกบ่อย ๆ ผมนอนหลับอยู่ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังทำ ผมมีไอ้ถุงนี่อยู่ในปากตลอดเวลา 24 ชั่งโมง อันนี้ไม่ได้โกหกเลย”

ถุงนิโคติน คือผลิตภัณฑ์นิโคตินทดแทนสำหรับเป็นตัวช่วยสำหรับลดอาการอยากบุหรี่หรือติดสารนิโคติน ถุงนิโคตินมีลักษณะเป็นถุงเล็ก ๆ คล้ายถุงชาที่บรรจุนิโคตินในรูปแบบเม็ดและน้ำ และสารปรุงแต่งรสและกลิ่น โดยไม่มีส่วนผสมของใบยาสูบ ผู้ที่ใช้งานจะนำเอาถุงนิโคตินเหน็บแบบกึ่งอมไว้ในช่องปากบริเวณเหงือกด้านบนหรือกระพุ้งแก้ม เพื่อให้สารนิโคตินค่อย ๆ ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อเมือกในปากและผ่านกระแสเลือด โดย 1 ซองจะใช้ได้นานประมาณ 30 นาที

ในหนังสือบันทึกความทรงจำเล่มล่าสุดของเขา ‘From Under the Truck’ ที่เพิ่งวางแผงไปไม่นาน โบรลินได้เปิดใจเล่าเกี่ยวกับช่วงชีวิตของเขาที่ต้องต่อสู้กับยาเสพติดมาตลอดชีวิต เขาริลองเสพกัญชาครั้งแรกเมื่อตอนอายุ 9 ขวบ และทดลองเสพยาหลอนประสาท (LSD) ครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี รวมไปถึงการดื่มแอลกอฮอล์ที่นำไปสู่อาการติดสุราในที่สุด

“ผมเกิดมาเพื่อดื่ม ผมเกิดมาก็ดื่มเลย แม่ของผมก็ดื่มเหมือนกับที่ผมดื่ม ผมถูกเลี้ยงดูมาให้เป็นผู้ชาย และผมก็ดื่มเหมือนกับว่าผมคือเวอร์ชันผู้ชายของแม่ผมแบบนั้นเลย”

จนกระทั่งเมื่อปี 2013 ในยามที่เขามีชื่อเสียง โบรลินตื่นขึ้นมาในสภาพแฮงก์บนทางเท้านอกบ้าน เขาค่อย ๆ พยุงตัวเองเดินเข้าไปในบ้านและตรงเข้าไปนอนบนเตียง ซึ่งเป็นเตียงเดียวกันกับที่คุณย่าวัย 99 ปีนอนอยู่ คุณย่ายิ้มให้กับหลาน ทั้ง ๆ ที่ตัวของเขามีกลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่ว ทำให้เขาเริ่มตระหนักว่าต่อไปเขาอาจจะมีสภาพไม่ต่างจากคุณย่าที่กำลังจะจากไป เขาจึงตั้งใจไปเข้าร่วมบำบัด และเข้าร่วมกลุ่มผู้บำบัดแอลกอฮอล์นิรนาม จนทำให้เขาเลิกแอลกอฮอล์ได้สำเร็จ

ก่อนหน้านี้ โบรลินเล่าว่า เขาเคยบำบัดอาการด้วยการอมเม็ดอมนิโคติน ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนมาใช้ถุงนิโคตินแทน เขาอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ในหนังสือความทรงจำ

“เวลาอมเม็ดอม มันจะละลายหายไปภายใน 2 วินาที แต่รสชาติของมันเหมือนกับน้ำมันเบนซิน และมีกลิ่นที่แรงมาก แต่ก่อนผมมักจะซุกเม็ดอมเอาไว้ระหว่างเหงือกกับฟัน ฟันของผมเลยผุไปถึง 7 ซี่ เพราะเม็ดอมนั่นมีน้ำตาลอยู่เป็นจำนวนมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงเปลี่ยนมาใช้ถุงนิโคตินแทน”

อาการติดถุงนิโคตินของเขาก่อให้เกิดปัญหา โดยเฉพาะเมื่อเขาต้องถ่ายทำในต่างประเทศ ครั้งหนึ่ง เขาเคยต้องยอมจ่ายเงินถึง 300 เหรียญเพื่อหาซื้อถุงนิโคตินผิดกฏหมายในตลาดมืดแถบตะวันออกกลาง

Josh Brolin Outer Range

“ตอนนั้นผมอยู่ที่จอร์แดน มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผมและบอกว่า ‘ผมมีขายนะ’ แล้วในตลับมันมีเครื่องหมายหัวกะโหลกกับกระดูกไขว้ติดอยู่ที่ฝาด้วย แล้วมันเป็นซองขนาด 40 มิลลิกรัม (จากปกติที่มีขนาดเพียง 6 มิลลิกรัม) ผมบอกไปว่า ‘ผมคงไม่ใช่มันหรอกนะ'”

“แล้ววันหนึ่งของที่ผมมีก็เริ่มหมด คือมันก็ยังไม่ได้หมดจริง ๆ หรอก ผมยังมีของที่ใช้อยู่อีก 4-5 กระปุก และผมก็เอา (ถุงนิโคตินเถื่อน) ของเขาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ผมไปยิมและกำลังวิ่งกลับมาจากโรงยิม แล้วผมก็ลองใช้ของเขาดู ผมไม่อยากจะเอามันเข้าปากอีกเลย สาบานต่อพระเจ้าต่อหน้าลูก ๆ เลย หลังจากที่ผมใช้ไปไม่เกิน 20 วินาที ผมก็ต้องยกเลิกมื้อเย็นวันนั้น เพราะผมแ-่งท้องเสียแบบหมดไส้หมดพุงเลย เป็นอะไรที่แ-่งโคตรบ้ามาก”

และในเมื่อโบรลินยอมรับว่า ก่อนที่ถุงนิโคตินจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ชนิดที่เขาวางเอาไว้กระจายอยู่ทั่วบ้าน แต่เขาเองก็ยังเป็นห่วงถึงผลกระทบและอันตรายที่จะเกิดขึ้น หากลูก ๆ ในวัยเด็กเล็กของเขาเผลอหยิบถุงนิโคตินมาใส่ปาก

“ปกติแล้วพอใช้เสร็จ ผมก็มักจะหยิบมันออกมาจากปากแล้ววางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ถ้าลูกสาวผมหยิบเอาไปใส่ปาก เธอคงป่วยแน่ ๆ แต่แทนที่จะหยุด ผมกลับสอนพวกเธอว่า ‘อย่าหยิบเป็นอันขาดเลยนะ อันนั้นของพ่อต่างหาก'”