คำเตือน: บทความนี้รายละเอียดเกี่ยวกับเพศ และการล่วงละเมิดทางเพศ


หลังจากที่หนังโรแมนติกดราม่า ‘It Ends With Us’ เข้าฉายเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แม้ตัวหนังจะได้กระแสแง่บวกและทำรายได้ถึง 350 ล้านเหรียญ แต่ที่ตามมาติด ๆ ก็คือกระแสดราม่าของนักแสดงนำผู้รับบทเป็นสามีภรรยา ระหว่าง เบลก ไลฟ์ลี (Blake Lively) ภรรยาของ ไรอัน เรย์โนลส์ (Ryan Reynolds) กับ จัสติน บัลโดนี (Justin Baldoni) ที่ยิ่งโหมกระพือ หลังจากที่ทั้งคู่ไม่ได้ปรากฏตัวร่วมกันในงานเปิดตัวหนัง

จนกระทั่งสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีรายงานว่า ไลฟ์ลีในฐานะนักแสดงนำและเป็นโปรดิวเซอร์ ได้ยื่นฟ้องบัลโดนี นักแสดงนำและผู้กำกับหนังเรื่องนี้ โดยรายงานข่าวระบุว่าไลฟ์ลีได้ยื่นคำร้องต่อกรมสิทธิมนุษยชนแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยกล่าวหาว่าบัลโดนีมีเจตนาสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นพิษ และมีพฤติกรรมคุกคามและล่วงละเมิดทางเพศ

รวมทั้งมีบุคคลที่เกี่ยวข้องอีก 5 ราย อันประกอบไปด้วย เจมีย์ ฮีธ (Jamey Heath) โปรดิวเซอร์ของหนัง, สตีฟ ซาโรวิช (Steve Sarowitz) ผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอผู้ผลิตหนัง Wayfarer Studio รวมทั้ง เจด วอลเลซ (Jed Wallace), เมลิสซา นาธาน (Melissa Nathan) และ เจนนิเฟอร์ อาเบล (Jennifer Abel) ผู้บริหารบริษัทประชาสัมพันธ์ที่ถูกระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการทำลายชื่อเสียงของไลฟ์ลี

ในเอกสารคำร้องของไลฟ์ลีระบุว่า บัลโดนี ในฐานะผู้กำกับและนักแสดงผู้รับบทเป็น ไรล์ คินเคด สามีผู้มีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงต่อภรรยา ลิลลี บลูม ที่แสดงโดยไลฟ์ลี มักจะมีพฤติกรรมในการ ‘แสดงด้วยการสัมผัสทางกายแบบด้นสด โดยที่ไม่มีการซักซ้อม ออกแบบท่าทาง หรือพูดคุยล่วงหน้า’ และไม่มีผู้ประสานงานด้านฉากใกล้ชิด (Intimacy Coordinator) คอยดูแลในระหว่างการถ่ายทำฉากดังกล่าว รวมทั้งว่าจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ด้านการจัดการวิกฤตเพื่อจัดการภาพลักษณ์ให้กับเขา และโจมตีชื่อเสียงของไลฟ์ลี

Blake Lively Justin Baldoni It Ends with Us

ข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการละเมิดทางเพศเริ่มต้นมาตั้งแต่การประชุมพูดคุยช่วงก่อนเริ่มถ่ายทำหนังที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายของ คอลลีน ฮูเวอร์ (Colleen Hoover) โดยในข้อกล่าวหาระบุว่า ก่อนเริ่มถ่ายทำ บัลโดนีได้เพิ่มฉากและเนื้อหาทางเพศที่ไม่จำเป็น และฉากที่มีการเปลือยกายในลักษณะที่สร้างความลำบากใจ อาทิ ฉากที่ไลฟ์ลีต้องแสดงอาการถึงจุดสุดยอดต่อหน้ากล้อง, ฉากที่ตัวละครลิลลีสูญเสียพรหมจรรย์ในวัยเยาว์ ซึ่งไม่มีปรากฏอยู่ในนิยายต้นฉบับ โดยถูกเพิ่มเข้ามาโดยไม่ได้รับความยินยอมจากไลฟ์ลีหลังจากที่เธอเซ็นสัญญาร่วมแสดง

เมื่อไลฟ์ลีคัดค้านการเพิ่มเติมฉากเหล่านี้ บัลโตนีอ้างว่า เขาเพิ่มฉากดังกล่าวเพราะต้องการทำหนังผ่านมุมมองของผู้หญิง แม้ในภายหลังเขาจะยอมตัดฉากออกไป แต่ก็ยังคงฉากที่ลิลลีและไรล์ถึงจุดสุดยอดพร้อมกันในคืนวันแต่งงาน โดยกล่าวอ้างว่าซีนนี้จำเป็นและสำคัญสำหรับเขา เพราะเขาและภรรยาก็เคยถึงจุดสุดยอดพร้อมกันในระหว่างมีเพศสัมพันธ์ รวมทั้งยังถามไลฟ์ลีว่า เธอและสามี (เรย์โนลส์) ‘เคยถึงจุดสุดยอดพร้อมกันระหว่างมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ ? ‘ ซึ่งไลฟ์ลีมองว่าเป็นการล่วงล้ำ และปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว

ในคำร้องยังระบุว่า ในการแสดงฉากจูบฉากหนึ่ง บัลโดนีได้แสดงด้นสดด้วยการขบกัดและดูดที่ที่ริมฝีปากล่างของไลฟ์ลี โดยเขายังสั่งให้มีการถ่ายทำฉากนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนมากเกินจำเป็น และในฉากเต้นรำบนดาดฟ้าซึ่งเป็นการถ่ายทำแบบไม่ใช้เสียง บัลโดนีได้เอนตัวไปหาไลฟ์ลี และใช้ริมฝีปากลากจากใบหูลงมาที่ซอกคอของไลฟ์ลี และพูดกระซิบว่า “กลิ่นตัวคุณหอมมากเลย” ซึ่งเป็นถ้อยความที่ไม่มีอยู่ในบท หรือบางครั้งเขาก็จูบและลูบไล้เธอในแบบที่ไม่ใช่คาแรกเตอร์ของตัวละคร และเมื่อไลฟ์ลีทักท้วง เขาก็มักจะตอบกลับว่า “ผมไม่ได้สนใจตัวคุณสักหน่อย”

เอกสารกล่าวอ้างว่า บัลโดนีและฮีทได้กดดันให้ไลฟ์ลีแสดงด้วยการเปลือยกายแบบเต็มต้ว แม้จะไม่มีการระบุฉากเปลือยกายทั้งในบทหนัง ในสัญญา หรือในการพูดคุยใด ๆ เลย ในฉากที่ตัวละครลิลลีคลอดลูก ไลฟ์ลีเปลือยกายท่อนบนโดยมีเพียงผ้าชิ้นเล็ก ๆ ปิดบังท่อนล่างในระหว่างนอนบนขาหยั่ง โดยอ้างว่าการใส่ชุดโรงพยาบาลคลอดลูกนั้นดูไม่สมจริง และไม่มีการควบคุมจำนวนทีมงานในการถ่ายทำ แถมบัลโดนียังชวนเพื่อสนิทมารับบทเป็นแพทย์ทำคลอดในซีนดังกล่าวด้วย

คำร้องระบุว่า ฮีธได้เปิดคลิปวิดีโอที่แสดงให้เห็นภาพภรรยาของเขาที่กำลังเปลือยกายคลอดลูกให้ไลฟ์ลีและผู้ช่วยของเธอดูโดยไม่ถามบความยินยอม จนตอนแรกไลฟ์ลีเข้าใจว่าวิดีโอนั้นเป็นสื่อลามก

นอกจากนี้ยังเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของไลฟ์ลีด้วย โดยกล่าวอ้างว่า บัลโดนีและฮีธมักเข้าไปในรถเทรลเลอร์ส่วนตัวของเธอโดยไม่ได้รับเชิญหลายครั้ง โดยเฉพาะในขณะที่เธออยู่ในสภาพเปลือยกาย หรือในระหว่างการให้นมลูก

รวมทั้งในวันที่ 2 ของการถ่ายทำ เมื่อไลฟ์ลีต้องการพูดคุยกับฮีธถึงพฤติกรรมของบัลโดนี คำร้องระบุว่าฮีธมาถึงรถเทรลเลอร์แต่งหน้า ในขณะที่เธอกำลังเปลือยท่อนบนและกำลังลบเครื่องสำอางที่ร่างกาย ไลฟ์ลีบอกกับฮีธว่าให้พบกันหลังจากเธอสวมเสื้อผ้า แต่เขายืนยันที่จะเข้าไป เธอจึงจำยอม แต่ขอให้ฮีธหันหลังให้เธอ ในระหว่างนั้นไลฟ์ลีสังเกตว่าเขาใช้สายตาจ้องมองเธอตอนที่กำลังเปลือยโดยตรง

ในคำร้องยังระบุถึงพฤติกรรมของบัลโดนี ที่มักจะพูดถึงและเล่าประสบการณ์ทางเพศส่วนตัวให้ไลฟ์ลีฟัง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เธอมองว่าน่ารังเกียจ อาทิ พฤติกรรมการเสพติดสื่อลามกในอดีต และในระหว่างนั่งอยู่บนรถ บัลโดนีเคยเล่าว่าเขาเคยถูกอดีตแฟนสาวล่วงละเมิดทางเพศ และได้ยอมรับว่าเขาเคยมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ได้รับความยินยอมจากอดีตคู่รักของเขา โดยเหตุการณ์นี้จบลงเมื่อคนขับรถของไลฟ์ลีที่อยู่ในเหตุการณ์บอกกับเธอว่า เขาไม่ต้องการให้เธออยู่กับผู้กำกับแต่เพียงลำพังอีกต่อไป

นอกจากนี้ บัลโดนียังมีการแสดงออกและพฤติกรรมที่เกี่ยวกับเพศ รวมทั้งวิจารณ์รูปลักษณ์ของไลฟ์ลีอยู่เสมอ โดยระบุว่า บัลโดนีมักพูดกับทีมงานหญิงในกองถ่ายว่าเซ็กซี่ รวมทั้งบังคับให้ไลฟ์ลีถอดเสื้อโคตเพื่อเผยให้เห็นชุดวันพีซที่ถกปลดซิปลงบางส่วนจนเผยให้เห็นเสื้อชั้นในของเธอ ท่ามกลางกองถ่ายที่มีคนอยู่หนาแน่น พร้อมกับจ้องมองและพูดว่า “ผมคิดว่าคุณดูเซ็กซี่มาก” อย่างโจ่งแจ้ง

ครั้งหนึ่ง บัลโดนีเคยวิจารณ์อายุและรูปร่างของไลฟ์ลี จากภาพที่ถูกปาปารัสซีถ่ายเธอในกองถ่ายว่า ‘ดูแก่และไม่น่าดึงดูด’ และอีกครั้งหนึ่ง บัลโดนีแอบโทรไปหาเทรนเนอร์ส่วนตัวเพื่อแจ้งว่าต้องการให้เธอลดน้ำหนักภายใน 2 สัปดาห์ หลังจากที่ไลฟ์ลีมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากการคลอดลูกคนที่ 4 ไม่ถึง 4 เดือน เพราะเขาจะต้องอุ้มเธอในการถ่ายทำ แต่สุดท้ายซีนนี้ก็ไม่ได้มีการถ่ายทำจริง ๆ

นอกจากนี้ ทั้งบัลโดนีและฮีธมักจะกอดและสัมผัสตัวของนักแสดงและทีมงานอยู่เสมอ หากคนใดมีท่าทีหลีกเลี่ยง พวกเขาจะตอบโต้ด้วยการแสดงความไม่พอใจ ทำตัวเย็นชา และไม่ให้ความร่วมมือ และในบางครั้ง บัลโดนีกล่าวอ้างกับไลฟ์ลีหลายครั้งว่าเขาสามารถสื่อสารกับผู้เสียชีวิตได้ และเขาเคยได้พูดคุยกับพ่อผู้ล่วงลับของเธอด้วย

จากการประท้วงหยุดงานของ SAG-AFTRA ในปี 2023 ทำให้กองถ่ายหยุดชะงักไปชั่วคราว และกลับมาถ่ายทำต่ออีกครั้งในปี 2024 ในคำร้องยังระบุว่า ได้มีการจัดการประชุมขึ้นในเดือนมกราคม 2024 โดยมีไลฟ์ลีและเรย์โนลส์เข้าประชุมด้วย เพื่อออกมาตรการ 30 ข้อเพื่อแก้ไขสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่เหมาะสมในกองถ่าย โดยมี 17 ข้อจากทั้งหมดเป็นการมุ่งเพื่อหยุดพฤติกรรมที่ไม่เป็นมืออาชีพของบัลโดนีโดยเฉพาะ อาทิ การห้ามแสดงแบบด้นสด, การห้ามสัมผัสทางร่างกาย หรือพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเพศต่อไลฟ์ลีและทีมงานหญิงโดยไม่ได้รับความยินยอม

รวมทั้งการห้ามฉายวิดีโอภาพเปลือย หรือภาพผู้หญิงให้ไลฟ์ลีชม, ห้ามพูดถึงอาการเสพติดสื่อลามก, การถึงจุดสุดยอด ห้ามพูดถึงอวัยวะเพศของนักแสดงและทีมงาน รวมทั้งห้ามถามเกี่ยวกับน้ำหนัก และห้ามพูดถึงพ่อที่จากไปของไลฟ์ลีอีกต่อไป รายงานระบุว่า Sony Pictures ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ได้อนุมัติคำขอของไลฟ์ลีตามข้อร้องเรียน

ซึ่งแม้พฤติกรรมต่าง ๆ จะดีขึ้น แต่ไลฟ์ลีก็ยังต้องต่อสู้กับความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากเธอไม่พอใจหนังฉบับที่บัลโดนีตัด และเจ้าของผลงานต้นฉบับอย่างฮูเวอร์ ก็ไม่พอใจการดัดแปลงบทของบัลโดนี ไลฟ์ลีจึงได้ว่าจ้างมือตัดต่อและ Composer เพื่อตัดต่อหนังอีกเวอร์ชันขึ้นมา จนภายหลัง Sony และ Wayfarer ก็เลือกใช้หนังเวอร์ชันของไลฟ์ลีในการออกฉายจริง ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ไลฟ์ลีและฮูเวอร์พึงพอใจมากที่สุด

ในเอกสารคำร้องยังระบุอีกว่า ก่อนการเปิดตัวภาพยนตร์ในเดือนสิงหาคม บัลโดนีได้ว่าจ้างทีมบริหารจัดการภาวะวิกฤตที่ประกอบไปด้วยวอลเลซ, นาธาน และอาเบล ที่อยู่เบื้องหลังการจัดการภาวะวิกฤตให้กับ จอห์นนี เดปป์ (Johnny Depp) รวมทั้งแรปเปอร์ทั้งเดรก (Drake) และทราวิส สก็อตต์ (Travis Scott) ฯลฯ เพราะกลัวว่าไลฟ์ลีจะเปิดเผยพฤติกรรมไม่ดีของเขา

โดยในข้อความแชตส่วนตัว และอีเมลส่วนตัวที่นำมายื่นเป็นหลักฐาน ได้เปิดเผยว่า บัลโดนีว่าจ้างทีมบริหารจัดการภาวะวิกฤตมาเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตนเอง และพยายามทำลายชื่อเสียงของไลฟ์ลี โดยมีการเปิดเผยข้อความที่บัลโดนีคุยกับอาเบลว่าต้องการจะ ‘ฝังกลบ’ ชื่อเสียงของไลฟ์ลีให้ได้

Blake Lively Justin Baldoni It Ends with Us

กลยุทธ์ที่นำมาใช้ก็คือการเผยแพร่ชุดความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียที่ดูเหมือนมาจากบุคคลทั่วไปเพื่อโจมตีไลฟ์ลีเสียชื่อเสียง ทั้งบรรดาข่าวลือการควบคุมกองถ่าย, การปล่อยบทสัมภาษณ์เกี่ยวกับท้องน้อย ๆ ในระหว่างโปรโมตหนัง ‘Café Society’ (2016)

การใช้กลยุทธ์สัมภาษณ์โปรโมตหนังที่พูดถึงการทำร้ายร่างกายในครอบครัวด้วยท่าทีร่าเริงแจ่มใส และการปล่อยข่าวว่า สามีของเธออย่างเรย์โนลส์ มีส่วนในการเข้ามาแก้ฉากต่าง ๆ ทั้งที่ไม่มีส่วนร่วมใด ๆ ในหนังเลย ทำให้ไลฟ์ลีโดนโจมตีว่าพึ่งพาสามีมากเกินไป และละเมิดคำสั่งหยุดงานประท้วงของนักเขียนบท

จนกระทั่งงานรอบปฐมทัศน์ของหนังที่นิวยอร์กในเดือนสิงหาคม ข่าวความขัดแย้งของทั้งคู่ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อนักแสดงต่างเลือกที่จะไปปรากฏตัวและถ่ายรูปร่วมกับไลฟ์ลี โดยไม่มีใครไปยืนเคียงข้างบัลโดนีเลย เพราะทีมงานเองต่างก็รู้ถึงพฤติกรรมของเขา ทำให้บัลโดนีสั่งเปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยการหันมาโพสต์ข้อความที่สื่อถึงประเด็นเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกายในครอบครัว ด้วยการหาพันธมิตรทั้งผู้สนับสนุน เหยื่อ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้บัลโดนีดูดีขึ้น

หลังจากมีการฟ้องร้อง ไบรอัน ฟรีดแมน (Bryan Freedman) ทนายความของบัลโดนี และบริษัท Wayfarer Studios ที่เขาร่วมก่อตั้ง ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้การฟ้องร้องของไลฟ์ลีว่าเป็นเรื่องเท็จ และมีเจตนากอบกู้ชื่อเสียงที่เสียหายของตนเอง และเผยว่าไลฟ์ลีกระทำการเรียกร้องและข่มขู่ว่าจะไม่ยอมถ่ายทำ และโปรโมตหนัง จนอาจส่งผลให้หนังเกิดความเสียหาย

“เป็นเรื่องน่าละอายที่คุณไลฟ์ลีและตัวแทนของเธอ จะกล่าวหาที่รุนแรงและไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิงต่อคุณบัลโดนี และบริษัท Wayfarer Studios ตัวแทนของบริษัทเหล่านี้ โดยมุ่งหวังเพียงเพื่อแก้ไขชื่อเสียงในทางลบของเธอ ซึ่งเกิดจากคำพูดและการกระทำของเธอเองในระหว่างโปรโมตภาพยนตร์ ข้อกล่าวหาเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเท็จโดยสิ้นเชิง ไร้เหตุผล และมีเจตนาสร้างความเสื่อมเสีย พร้อมทั้งพยายามสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ในสื่อเพื่อโจมตีผู้อื่นอย่างเปิดเผย”

ในขณะที่ไลฟ์ลีได้กล่าวแถลงการณ์ต่อ The New York Times ที่รายงานเจาะลึกเรื่องนี้ว่า “ฉันหวังว่า การดำเนินคดีทางกฎหมายครั้งนี้ จะช่วยเปิดโปงกลยุทธ์การตอบโต้ที่มืดมนเหล่านี้ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อทำร้ายผู้ที่ลุกขึ้นพูดเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และช่วยปกป้องคนอื่นๆ ที่อาจตกเป็นเป้าหมายในอนาคต”

โดยหลังจากที่มีคดีความเกิดขึ้น William Morris Endeavor (WME) บริษัทตัวแทนของบัลโดนี ได้ยกเลิกสัญญาในฐานะตัวแทนนักแสดงของบัลโดนีในทันที