เอเวอเรสต์ (Mount Everest) เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 29,035 ฟุต หรือ 8,848 เมตร เอเวอเรสต์เป็นยอดเขาที่อันตรายที่สุดในโลก ด้วยความที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมาก จึงทำให้มีความกดอากาศต่ำ มีอากาศหนาวเย็นจับใจในช่วงหน้าหนาว มีหิมะปกคลุมยอดเขาตลอดทั้งปี เส้นทางที่กว่าจะเข้าไปถึงบริเวณเบส แคมป์ (ประมาณ 5,364 เมตรจากระดับน้ำทะเล) ของทางฝั่งเนปาล ก็ยังต้องไต่เขาขึ้นไป แถมยังเป็นเส้นทางที่อันตรายมากยิ่งขึ้น เพราะยิ่งสูงความกดอากาศก็ยิ่งต่ำ มีออกซิเจนน้อย ลมพัดแรงมาก หากโชคไม่ดีก็อาจจะเจอกับพายุหิมะ ซึ่งนั่นหมายถึงการสูญเสียชีวิตเลยทีเดียว
แต่ด้วยความที่ได้ตำแหน่งว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกจึงทำให้ เอเวอเรสต์เป็นเสมือนหลักชัยที่ช่างท้าทายนักปีนเขาทั่วโลก เป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของนักปีนเขา แม้ว่านั่นหมายถึงต้องแลกกับชีวิตเลยก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการพลาดร่วงตกลงเหว ขาดออกซิเจนตาย หรือโดนก้อนหินถล่มทับร่าง ทำให้ในวันนี้มีการประมาณว่ามีร่างของนักปีนเขาถูกทิ้งไว้ระหว่างทางสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์แล้วมากกว่า 200 ร่าง หรืออาจจะถึง 300 ร่างก็เป็นได้ ร่างเหล่านี้เสียชีวิตท่ามกลางสภาพอากาศเย็นจัด ทำให้ร่างของเขาเหล่านี้ไม่เน่าเปื่อยและมองเห็นได้ชัดตลอดเส้นทางขึ้นลงยอดเขา ทำให้บรรดานักปีนเขาตั้งฉายาให้ร่างเหล่านี้ และถูกใช้เป็นจุดสังเกตที่นักปีนเขาสื่อถึงกันได้เข้าใจ และนี่คือเรื่องราวของบางร่างที่ถูกใช้เป็น จุดสังเกต หรือ Landmarks ของนักปีนเขา
Green Boots
Green Boots หรือ รองเท้าบู๊ตเขียว เป็นร่างของนักปีนเขาชาวอินเดียที่เสียชีวิตตั้งแต่ปี 1996 นู่นแล้ว หลายคนเชื่อว่าเจ้าของร่างนี้คือ แสวง พาลจอร์ (Tsewang Paljor) ร่างของเขานอนอยู่ใกล้กับถ้ำ ที่นักปีนเขาทุกคนจะต้องเดินผ่านเพื่อขึ้นไปยังยอดเขา ทุกวันนี้ร่างของ Green Boots ทำหน้าที่เป็นจุดสังเกตให้นักปีนเขาได้รู้ว่า พวกเขามาใกล้ยอดเขาแค่ไหนแล้ว
สาเหตุที่นายแสวงได้กลายเป็นร่าง Green Boots อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเขาตัดสินใจแยกตัวออกจากกลุ่มเพื่อน หลังจากรู้ตัวเองว่าสภาพร่างกายไปต่อไม่ไหวแล้ว แสวงมองหาชะง่อนหินข้างทาง แล้วไปนั่งหลบอยู่ตรงจุดนั้น แต่ก็ไม่มีความช่วยเหลือใด ๆ มาถึงตัว เขานั่งหนาวสั่นอยู่ตรงนั้นจนหมดลมหายใจไป
David Sharp
เดวิด ชาร์ป (David Sharp) นักปีนเขาชาวอังกฤษ เขาลุยเดี่ยว ไม่ใช้ถังออกซิเจน ไม่มีทีมสนับสนุน ชาร์ปไปถึงยอดเขาได้สำเร็จ ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2006 ขากลับลงจากยอดเขา ชาร์ปหยุดพักที่ถ้ำที่รู้จักกันในชื่อ Green Boots Cave พอชาร์ปเข้าไปนั่งพัก ร่างเขาก็ถูกแช่แข็งจนแน่นิ่งอยู่ตรงจุดนั้น ชาร์ปยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ เขามองเห็นนักปีนเขากว่า 40 คนเดินผ่านเขาไป ที่นักปีนเขาส่วนใหญ่เดินผ่านเขาไปโดยไม่ใยดี เพราะนึกว่านี่คือร่างของ Green Boots
ในช่วงก่อนที่ เดวิด ชาร์ป จะหมดลมหายใจนั้น มาร์ก อิงลิช (Mark Inglis) นักปีนเขาชาวนิวซีแลนด์ ที่ใช้ขาเทียมทั้ง 2 ข้าง มากับทีมสนับสนุน มองเห็นร่างของชาร์ป อิงลิชแวะเข้าไปดูอาการของชาร์ป แต่ก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ แล้วมุ่งหน้าขึ้นยอดเขาต่อไป ผ่านไป 9 ชั่วโมง อิงลิชและทีมลงจากยอดเขา แวะดูชาร์ปอีกครั้ง แต่เขาก็เสียชีวิตไปแล้วในท่านั่งกอดเข่า เรื่องราวของอิงลิชที่ไม่ได้พยายามช่วยชีวิต เดวิด ชาร์ป ทำให้เขาถูกประณามอย่างมาก
Francys Arsentiev
แฟรนซี อาร์เซนเทียฟ (Francys Arsentiev) จบชีวิตในปี 1998 เธอเป็นนักปีนเขาหญิงชาวอเมริกันคนแรกที่ไปได้ถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ โดยไม่ต้องใช้ถังออกซิเจนช่วยแต่อย่างใด แต่ชื่อเสียงของเธอกลับไม่ได้เป็นที่รู้จักหรือได้รับการยกย่องแต่อย่างใด นั่นก็เพราะเธอไม่สามารถกลับสู่พื้นล่างได้สำเร็จ
หลังจากแฟรนซีและสามีไปถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ได้สำเร็จ ทั้งคู่ก็ดั้นด้นกลับมาถึงแคมป์ด้วยความยากลำบาก ในค่ำคืนนั้นเมื่อมาถึงแคมป์ได้สำเร็จ เซอร์เก อาร์เซนเทียฟ (Sergei Arsentiev) ผู้เป็นสามีถึงเพิ่งรู้ตัวว่า แฟรนซีไม่ได้กลับลงมาถึงแคมป์พร้อมกับเขา ถึงรู้ว่าการออกไปตามหาในค่ำคืนเช่นนี้ เต็มไปด้วยอันตราย แต่กระนั้นเซอร์เกก็ยังเลือกเสียงออกไปตามหาภรรยา ระหว่างทางเขาได้พบกับทีมนักปีนเขาชาวอุซเบก พวกเขาเล่าว่าได้เจอแฟรนซีระหว่างทางที่ลงเขามา พวกเขาพาตัวเธอมาได้ช่วงระยะหนึ่ง แต่ก็ต้องจำใจทิ้งร่างเธอไว้ระหว่างทาง เพราะออกซิเจนพวกเขาก็จะหมดเหมือนกัน
วันรุ่งขึ้น มีนักปีนเขาสองคนเจอแฟรนซีที่อยู่ในสภาพหายใจรวยริน และไม่สามารถขยับร่างกายได้แล้ว นอนอยู่ข้างทาง ใกล้ ๆ ร่างเธอมีขวานปีนเขาและเชือกขดหนึ่งซึ่งเป็นของเซอร์เก แต่กลับไม่เห็นร่างของเซอร์เกอยู่ในบริเวณนั้น นักปีนเขาทั้งคู่มองไม่เห็นลู่ทางที่จะช่วยชีวิตแฟรนซีได้แต่อย่างใด จำต้องทิ้งให้เธอนอนหมดลมหายใจไปตรงจุดนั้น 1 ปีต่อมา ปริศนาได้คลี่คลายว่าเซอร์เกหายไปไหน มีนักปีนเขาพบร่างของเซอร์เกตกหน้าผาลงไปตายในจุดใกล้กับที่มีคนพบร่างแฟรนซี
ว่าแล้วก็ไปเล่นหิมะกันที่เมืองน้ำแข็งพัทยากันดีกว่าครับ คนละ 350 บาท ไม่เสี่ยงชีวิตดี