“จะซื้อบ้านทำไม ในเมื่อคุณสามารถเป็นเจ้าของได้ทั้งเมือง”
คำโฆษณาที่ แดฟเน เฟลตเชอร์ (Daphne Fletcher) โพสต์ขายเมือง เวาคอนดา (Wauconda) รัฐวอชิงตัน บน e-Bay เมื่อเดือนมีนาคม 2010 แล้วก็สามารถขายให้กับคู่สามี-ภรรยา แมดดี และ นีล เลิฟ (Maddie-Neal Love) ในราคา 360,000 เหรียญ ประมาณ 11 ล้านบาท

เวาคอนดาเป็นเมืองที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อตั้งขึ้นในปี 1898 โดยสามพี่น้องที่ย้ายถิ่นฐานมาจากเมืองเวาคอนดา รัฐอิลลินอยส์ พวกเขามาขุดเจอทองคำที่นี่เลยตัดสินใจแปลงพื้นที่แห่งนี้ให้เป็นเหมืองทอง แล้วตั้งชื่อว่า ‘เวาคอนดา’ ตามชื่อเมืองบ้านเกิดของเขา ธุรกิจทำเหมืองประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้น มีผู้คนย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากที่เวาคอนดามากขึ้นเรื่อย ๆ ในปี 1900 เมืองเวาคอนดาก็มีประชากรมากกว่า 300 คนแล้ว เริ่มมีร้านค้าขายของจิปาถะ และสำนักงานไปรษณีย์ ช่วงพีกสุดของเวาคอนดานั้นมีประชากรประมาณ 1,000 คน พอเข้าสู่ช่วงต้นของ 1900s เหมืองทองก็เริ่มให้ผลผลิตได้น้อยลง เหมือง 4 แห่งในเวาคอนดาทยอยปิดตัวลง ในปี 1929 รัฐบาลได้ตัดถนน ไฮเวย์สาย 20 วิ่งผ่านเมือง แหล่งชุมชนก็เลยย้ายที่ไปอยู่ติดถนนเส้นใหม่กัน เมืองเดิมก็เลยกลายเป็นเมืองร้าง

ในปี 2007 แดฟเน เฟลตเชอร์ วัย 42 ในขณะนั้น ก็เข้ามาซื้อเมืองเวาคอนดา ที่มีพื้นที่ 4 เอเคอร์ (ประมาณ 10 ไร่) นี้ ในราคา 180,810 เหรียญ ประมาณ 5.9 ล้านบาท สิ่งที่ได้รับในการเป็นเจ้าของเมืองนี้ก็คือ ปั๊มน้ำมัน, ร้านค้าขายของจิปาถะเล็ก ๆ, บ้าน 1 หลังขนาด 4 ห้องนอน และมีรหัสไปรษณีย์เป็นของตัวเอง หลังเฟลตเชอร์ครอบครองเมือง เธอก็มีรายได้จากเมืองนี้ประมาณ 300,000 เหรียญต่อปี ซึ่งเป็นรายได้ที่มาจากปั๊มน้ำมัน, ร้านค้า และร้านอาหาร ร้านละ 100,000 เหรียญ เฟลตเชอร์เล่าว่าเธอมีกำไรสุทธิก็ประมาณ 40,000 -50,000 เหรียญต่อปี แต่หลังจากครอบครองเมืองมาได้ 4 ปีเธอก็ตัดสินใจประกาศขายเมืองเวาคอนดาผ่านทาง e-Bay เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2010 ด้วยคำโฆษณาเชิญชวนว่า
“จะซื้อบ้านไปทำไมกัน ในเมื่อคุณเป็นเจ้าของเมืองตัวเองได้ เป็นเจ้าของสำนักงานไปรษณีย์ มีรหัสไปรษณีย์เป็นของตัวเอง……………….เจ้าของเมืองเพียงคนเดียวตอนนี้เหนื่อยแล้วอยากจะเกษียนเสียที ………………..เป็นเจ้าของได้ในราคาถูกมากเพียง 359,000 เหรียญเท่านั้น เสนอราคาประมูลมาเลยถ้าคุณสมควรเป็นเจ้าของเมืองนี้”
การประมูลสิ้นสุดลงในวันที่ 12 เมษายน 2010 มีผู้เข้าเสนอราคากัน 112 ราย

“CNN หยิบเรื่องนี้ไปทำข่าว มันก็เลยดังไปทั่วโลกเลย มีคนโทรมาหาฉันทั้งจากลอนดอน และคนจีน”
แดฟเน เฟลตเชอร์ เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟัง
ผู้ที่เสนอราคาสูงสุดคือ เดวิด บรอดเบนต์ (David Broadbent) มาจากเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เขาเสนอราคาอยู่ที่ 370,601 เหรียญ ตามเงื่อนไขแล้ว บรอดเบนต์จะต้องวางเงินมัดจำมาก่อนที่ 5% ทำเอาเฟลตเชอร์รอคอยด้วยความคาดหวัง แต่สุดท้ายบรอดเบนต์ก็เปลี่ยนใจ ไม่ซื้อแล้ว เฟลตเชอร์ก็เลยต้องติดต่อไปหาผู้เสนอราคาคนรองลงมา แต่แล้วผู้ที่เสนอราคาสูงสุด 5 อันดับแรก ก็ไม่มีใครตอบข้อความเธอสักคนเดียว แต่แล้วเฟลตเชอร์ก็ได้รับการติดต่อจาก คู่สามี-ภรรยา แมดดีและนีล เลิฟ ที่ได้ยินข่าวประกาศขายเมืองใน e-Bay และแสดงความสนใจ
“ฉันทรุดตัวลงร้องไห้เลย ฉันตื่นเต้นมากจริง ๆ ส่วนนีลนี่ก็เกือบจะอาเจียนออกมาด้วยความตื่นเต้นตอนที่เขาเซ็นสัญญาซื้อ สาบานต่อพระเจ้าด้วยความสัตย์จริงเลย ฉันนี่ถึงกับขายทุกสิ่งทุกอย่างหมดเลย เพื่อมาซื้อเมืองนี้ พวกเรามาที่เมืองนี้โดยที่ขนเสื้อผ้าใส่กระโปรงท้ายรถมาแค่นั้นเลย”

พอได้เจ้าของเมืองคนใหม่เรียบร้อยแล้ว แดฟเน เฟลตเชอร์ ก็อยู่ต่อที่เวาคอนดาอีกช่วงระยะสั้น ๆ เพื่ออธิบายรายละเอียดที่จำเป็นส่งต่อให้กับเจ้าของใหม่ มองเผิน ๆ เหมือนว่าเฟลตเชอร์จะได้กำไรไป 2 เท่าหลังจากครอบครองมาแค่ 4 ปีแต่เธอก็บอกว่าเธอแทบไม่ได้กำไรเลย เพราะหมดเงินไปกับการบูรณะปรับปรุงเมืองไปสูงมาก ซึ่งเธอยืมเงินมาจากแม่ พอคืนแม่ไปแล้ว เธอเหลือเงินติดตัวอยู่แค่ 40,000 เหรียญเท่านั้นเอง ซึ่งเธอก็นำเงินส่วนนี้ไปซื้อรถบ้านที่เธอออยากได้มานานแล้ว

ส่วน แมดดี เลิฟ วัย 48 ปี และ นีล เลิฟ วัย 50 ปีนั้น ทั้งคู่มาจากเมืองบอตเฮล รัฐวอชิงตัน ตอนที่มาซื้อเมืองนี้ ทั้งคู่ต่างว่างงาน แต่ก็ยอมขายทรัพย์สินทุกอย่างที่ตัวเองมีเพื่อนำเงินมาซื้อเมืองนี้และย้ายรกรากมาอยู่กันที่นี่เลย ทั้งคู่วางเงินมัดจำและปิดการซื้อขายภายใน 6 สัปดาห์เท่านั้น แต่พอซื้อมาแล้วทั้งคู่ก็เริ่มหวั่น ๆ ว่าตัวเองตัดสินใจถูกหรือไม่
“กว่าจะมาถึงที่นี่ เราต้องข้ามเขามาลูกนึง ข้ามมาอีก 1 สะพาน แล้วก็ข้ามเขาอีกลูก”
เฟลตเชอร์อธิบายสภาพแวดล้อมของเวาคอนดาให้คู่สามี-ภรรยาเลิฟฟังว่า น่าจะมีชาวบ้านประมาณ 100 ครอบครัว กระจายตัวอยู่กันในรัศมี 16 กิโลเมตรรอบ ๆ เมืองนี้ จำนวนคนทุกวันนี้มันห่างไกลจากวันที่เมืองรุ่งเรืองอย่างมาก แล้วเมืองนี้ก็เป็นจุดหยุดรถแห่งที่ 3 ของถนนเส้นที่ตัดผ่านเมืองนี้ ในช่วงวันหยุดฤดูร้อน จะเป็นช่วงพีกที่สุดของเมือง เพราะจะมีนักท่องเที่ยวขับรถผ่านเมืองนี้จำนวนมาก ร้านอาหารจะขายดีมากในช่วงนั้น ถึงกับต้องจ้างคนงานไว้ทีเดียว 5 คน แต่ถ้าในช่วงฤดูหนาวก็เหลือแค่ 2 คนก็เพียงพอแล้ว ส่วนปั๊มน้ำมันก็มีลูกจ้างเต็มวันไว้แค่คนเดียวพอ

พอคู่สามี-ภรรยาเลิฟเป็นเจ้าของเมืองได้ไม่นาน ทั้งคู่ก็เริ่มรู้สึกแล้วหนทางการเป็นเจ้าของเมืองมันไม่ได้สดใสเหมือนอย่างที่คาดการณ์ไว้ เริ่มจากการต้องปิดร้านค้าและร้านอาหารไปถึง 5 เดือน เหตุเพราะบ่อน้ำบาดาลที่เป็นแหล่งน้ำหลักของเมืองนี้ใช้การไม่ได้ และต้องใช้เงินทุนจำนวนมากในการซ่อมแซม ทั้งคู่รู้ซึ้งแล้วว่าคุณค่าของเมืองนี้ไม่ได้สมกับเงินที่ได้จ่ายไปเลย แล้วในที่สุด สามี-ภรรยาเลิฟก็ต้องทิ้งเมืองนี้ แล้วไปทำงานประจำกันในนอร์ธ ดาโกต้า เพื่อจะเก็บเงินมาซ่อมบ่อน้ำ
“มันเหมือนกับเป็นภาระหน้าที่ที่จำต้องทำด้วยทั้งความรักและความเกลียด ถ้าฉันได้ย้อนกลับไปเลือกหนทางนี้อีกครั้ง ฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะเลือกทางนี้หรอกนะ”
แมดดี เลิฟ กล่าวทิ้งท้าย