ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่หลายบริษัทตระหนักถึงความสำคัญอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่อุตสาหกรรมการบิน ก่อนหน้านี้เราเห็นการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้า คนเริ่มหันมาใช้รถ EV มากขึ้นจากตัวเลขยอดจดทะเบียนกว่า 76,000 คันในปี 2023 แม้ว่าวันนี้เทคโนโลยีไฟฟ้ายังไปไม่ถึงอุตสาหกรรมการบิน แต่ก็มีความพยายามที่จะลดการปล่อยคาร์บอนด้วยวิธีการต่าง ๆ เนื่องจากการบินเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างคาร์บอนไม่น้อย ล่าสุดบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือสายการบินบางกอก แอร์เวย์ส หนึ่งในผู้นำสายการบินในประเทศไทย เผยทางเลือกใหม่ในการใช้น้ำมันรีไซเคิลแบบยั่งยืนในชื่อ SAF ซึ่งเป็นต้นแบบการลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมการบินต่อไปในอนาคต

​พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และดิษทัต ปันยารชุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)

บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จับมือกับบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR นำร่องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน หรือ Sustainable Aviation Fuel (SAF) ประเดิมเที่ยวบินของบางกอกแอร์เวย์สเส้นทางสมุย-กรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นเส้นทางที่มีการใช้น้ำมันมากที่สุด และยังเป็นเส้นทางสมุยสร้างรายได้มากกว่า 50% ของบางกอกแอร์เวย์สอีกด้วย ถือเป็นต้นแบบให้โครงการ “Low Carbon Skies by Bangkok Airways” ที่มุ่งลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะเรื่องการบินที่สร้างปริมาณคาร์บอนมากที่สุดในระบบ

น้ำมัน SAF คืออะไร?

ก่อนอื่นทำความรู้จักก่อนว่า น้ำมัน SAF เป็นน้ำมันที่มีคุณสมบัติทางเคมีที่คล้ายคลึงกับน้ำมันเครื่องบินพาณิชย์ (Jet A-1) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ผลิตจากน้ำมันทำอาหารที่ใช้แล้ว UCO (Used Cooking Oil) กากน้ำตาล ขยะชีวภาพและอื่น ๆ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นน้ำมันรีไซเคิลจากน้ำมันเก่า ซึ่งสามารถนำไปผสมกับน้ำมัน Jet A-1 เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการบินในสัดส่วนสูงสุด 50% ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนหรือปรับปรุงเครื่องยนต์ และสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 80% เมื่อเทียบกับน้ำมันที่ใช้อยู่ในอุตสาหกรรมการบินปัจจุบัน

ปัจจุบันไทยยังไม่มีโรงงานที่สามารถผลิตน้ำมัน SAF นี้ได้ โดย OR ใช้วิธีการนำเข้าน้ำมัน SAF จากบริษัท Neste Oil ซึ่งเป็นโรงงานผลิตไบโอดีเซลที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากประเทศฟินแลนด์ ผ่านทางประเทศมาเลเซีย เพื่อนำมาใช้ทดสอบการเติมน้ำมันในเครื่องบิน Bangkok Airways ลำจริงเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2024

ในปี 2023 บางกอกแอร์เวย์ส สามารถลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศได้มากกว่า 11,321 ตัน (เท่ากับการปลูกต้นมะพร้าว 275,591 ต้น) หรือมากกว่า 200 กิโลกรัม/เที่ยวบิน ซึ่งการเติมน้ำมัน SAF ครั้งนี้คาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ประมาณ 1,346 กิโลกรัมต่อเที่ยวบิน หรือพูดง่าย ๆ ว่า ลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่าเดิมถึง 6 เท่าเลยทีเดียว

Bangkok Airways ตั้งเป้าใช้น้ำมัน SAF 1%

เป้าหมายของบางกอกแอร์เวย์สตั้งใจจะนำน้ำมัน SAF มาใช้ในอุตสาหกรรมการบินประมาณ 1% ของปริมาณน้ำมันทั้งหมด (บางกอกแอร์เวย์สใช้น้ำมัน Jet A-1 ประมาณ 10 ล้านลิตรต่อเดือน คิดเป็นปริมาณน้ำมัน SAF 100,000 ลิตรต่อเดือน) ภายในปี 2026 สอดคล้องกับมาตรการสายการบินที่มุ่งเน้นให้ทุกสายการบินใช้น้ำมัน SAF เป็นส่วนผสมอย่างน้อย 1% ในทุก ๆ เส้นทางการบิน เหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากปัจจุบันต้นทุนของน้ำมัน SAF ยังมีราคาที่สูงกว่าน้ำมัน Jet A-1 ประมาณ 3-5 เท่าตัวเลยทีเดียว จึงอาจส่งผลกระทบต่อราคาค่าตั๋ว ที่อาจสูงขึ้นเมื่อมีการใช้น้ำมัน SAF มากขึ้นตามไปด้วย เพราะต้นทุนที่สูงขึ้นนั่นเอง

บางกอกแอร์เวย์สตั้งเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศเป็นศูนย์ภายในปี 2050 (Net Zero Carbon Emission 2050) ตามมาตรการขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) รวมถึงสมาคมการบินระหว่างประเทศ (IATA) นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการไปสู่ Green Airport โดยมีสนามบินสมุย ซึ่งเป็นสนามบินเเห่งเเรกที่ได้รับการรับรองเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพรินท์จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกในปี 2016 – 2017 ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัสดุธรรมชาติมาใช้ในการออกแบบสนามบิน การติดตั้งสถานีชาร์จรถ EV ไว้บริการผู้โดยสาร การคัดแยกขยะและลดการใช้พลาสติก การบำบัดน้ำเสีย (เพื่อเป้าหมายปล่อยน้ำเสียสู่ธรรมชาตเป็นศูนย์) ไปจนถึงนำระบบโซลาร์เซลล์มาใช้ภายในอาคารสนามบินต่อไป