หลายคนได้ยินชื่อ Toyota Corolla มาตั้งแต่รุ่นพ่อ เพราะเป็นรถรุ่นหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 60 ปี นับตั้งแต่ Corolla รุ่นแรกออกจากสายการผลิตในปี 1966 กลายเป็นรถยนต์คอมแพกต์คาร์ ที่พัฒนาต่อเนื่องกว่า 12 เจเนอเรชัน สร้างยอดขายถล่มทลาย และกลายเป็นรถยนต์รุ่นที่ขายดีที่สุดของ Toyota มาจนถึงทุกวันนี้
Toyota Corolla เป็นรถยนต์ใช้งานขนาดเล็ก ผลิตโดยบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน เปิดตัวครั้งแรกในปี 1966 ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็กลายเป็นรถขายที่ดีสุดในประเทศต่าง ๆ จนกระทั่งปี 1997 ก็สามารถสร้างสถิติรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในโลกได้ แซงหน้าเจ้าของสถิติเดิมอย่าง Volkswagen Beetle นั่นเอง ปัจจุบัน Toyota ขายรถรุ่น Corolla เพียงรุ่นเดียวได้มากกว่า 50 ล้านคัน จากทั้งหมด 12 เจเนอเรชัน
Corolla ในภาษาละตินมีความหมายว่า มงกุฎเล็ก ซึ่งอ้างอิงไปจนถึงรุ่น Toyota Crown หรือมงกุฎใหญ่ในเซกเมนต์ซีดานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่เดิม Corolla เป็นรถที่มีขายเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น ก่อนทยอยเข้าสู่ตลาดประเทศต่าง ๆ ในช่วงเวลาที่ Nissan Sunny และ Honda Civic เปิดตัวเช่นเดียวกัน ปัจจุบัน Toyota Corolla ผลิตในหลากหลายประเทศ แบ่งเป็น สีแดงคือญี่ปุ่น สีน้ำเงินคือประเทศที่เป็นฐานผลิตในปัจจุบัน และสีเขียวคือประเทศที่เคยเป็นฐานผลิต Toyota Corolla
Corolla 1st Gen (KE10) ปี 1966
รถ Toyota Corolla เจเนอเรชันแรก ผลิตขึ้นที่โรงงาน Takaoka เมืองไอจิ ประเทศญี่ปุ่น ผลิตรถคันแรกออกมาในเดือนพฤศจิกายน 1966 ซึ่งเป็นรถขนาดเล็กมาก เล็กยิ่งกว่าไซส์คอมแพกต์คาร์ มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.1 ลิตร และจำหน่ายแค่ในร้าน Toyota Auto Store เท่านั้น แต่เดิมผลิตแค่รุ่น 2 ประตู และมาเพิ่มเป็น 4 ประตูในปีถัดมา รวมถึงเพิ่มรุ่นย่อย Sprinter ที่มีดีไซน์ท้ายลาดแบบ Fastback ในปี 1968
Corolla Gen 2 (E20) ปี 1970
Toyota พัฒนา Corolla เจเนอเรชันที่ 2 ออกมาในปี 1970 ภายใต้ตัวถังใหม่ มีความโค้งมนมากขึ้น รวมถึงการยกระดับเครื่องยนต์ 2T ให้มีกำลังสูงขึ้น และเพิ่มรุ่นย่อยอย่าง Corolla Levin และ Sprinter Trueno ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นตามไปด้วย ความพิเศษของเจเนอเรชันนี้คือ มีตัวถังหลากหลายขนาด ทั้ง 2 ประตู และ 4 ประตู รวมถึงวากอน 3 และ 5 ประตูด้วย นอกจากนี้ยังมีเครื่องยนต์หลายขนาด ตั้งแต่ 1.2 (3K) หรือ 1.4 (T) ไปจนถึง 1.6 (2T) ลิตร
ที่สำคัญยังเป็น Corolla รุ่นแรกที่ประกอบในประเทศไทยด้วย และช่วยเปิดประตูให้ Corolla สู่เวทีระดับโลก เนื่องจากในปี 1973 ทั่วโลกต่างเผชิญหน้ากับวิกฤตน้ำมัน ทำให้หลายคนมองหารถยนต์ที่ประหยัดและมีความทนทาน จึงทำให้ Corolla ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจนขายดีเป็นอันดับ 2 ของโลกในทันที
Corolla Gen 3 (E30-E60) ปี 1974
หลังจาก Toyota Corolla ในเจนก่อนหน้าเปิดประตูสู่ตลาดโลกได้สำเร็จ ในเจเนอเรชัน 3 จึงมีการเปลี่ยนดีไซน์ให้โค้งมนยิ่งขึ้น และเพิ่มตัวเลือกมากขึ้น แบ่งเป็นรุ่น Corolla รหัส E30 และ Sprinter รหัส E40 พร้อมเพิ่มรุ่น Liftback 2 ประตูเข้ามาในปี 1976 ซึ่งได้รับความนิยมในไทยค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังมีรุ่นตัวถัง Hardtop Coupe 2 ประตู ไปจนถึง Wagon
Corolla Gen 4 (E70) ปี 1979
การปรับโฉมครั้งใหญ่เกิดขึ้นในเจเนอเรชันที่ 4 หลังจาก Corolla ขายดิบขายดีกว่า 7 ล้านคันทั่วโลก ซึ่งเปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Toyota Corolla ให้มีความเหลี่ยมคมขึ้นชัดเจน สไตล์รถทรงกล่องในยุค 80s ตั้งแต่กระจังหน้า ไฟหน้า ไฟท้าย พร้อมเพิ่มตัวถังซีดาน 2 ประตู และ Liftback 3 ประตูเข้ามา รวมถึงการปรับเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนของ Toyota Corolla จากขับเคลื่อนล้อหลังในเจเนอเรชันนี้เป็นเจนสุดท้าย ไปเป็นขับเคลื่อนล้อหน้าแทนในเจนถัดไป
Corolla Gen 5 (E80) ปี 1983
Toyota Corolla เจน 5 เป็นเจนแรกที่เปลี่ยนมาใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ข้อดีคือทำให้มีพื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น เพราะไม่มีเครื่องยนต์วางหลังมาบดบังเนื้อที่ แต่ยังเหลือรุ่นขับเคลื่อนล้อหลังเพียงแค่ 2 รุ่นย่อย นั่นคือ รถดริฟต์ในตำนานอย่าง Toyota Corolla Levin และ Toyota Corolla Sprinter Trueno ที่ใช้รหัสตัวถัง AE85 และ AE86 รถส่งเต้าหู้จาก Initial D นั่นเอง
และมีการเพิ่มตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซล 1.8 ลิตรเข้ามาในปี 1985 นอกจากนี้ Toyota Sprinter ยังทำตลาดในอเมริกาพร้อมเปลี่ยนชื่อเป็นรุ่น Chevrolet Nova
Corolla Gen 6 (E90) ปี 1987
หลังจาก Toyota Corolla เจน 5 ถือว่าประสบความสำเร็จในตลาดค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ AE86 หลังจากมังงะและภาพยนตร์เรื่อง Initial D เปิดตัวในยุค 90s และ 2000 ทำให้ความนิยมของรถส่งเต้าหู้พุ่งทะยานนานหลายปี
จนกระทั่ง Toyota เปิดตัวเจนใหม่ที่ปรับเปลี่ยนมาเป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าเกือบทั้งหมดแล้ว ทั้ง Levin และ Sprinter Trueno ในเจนก่อนหน้า พร้อมตัวเลือกตัวถัง Hatchback 5 ประตู เพิ่มเครื่องยนต์ 4A-FE (ขายเฉพาะญี่ปุ่นกับอเมริกา) และ 4A-GE (เครื่องยนต์หัวฉีด ที่ประหยัดน้ำมันขึ้นและติดแก๊สได้) สำหรับ Corolla และ Sprinter ในเจนนี้ คนไทยจะรู้จักกันในชื่อรุ่นโดเรมอน ที่ไม่รู้ว่าหน้าตาคล้ายคลึงกับตัวละครโดเรมอนหรือเพราะเป็นรุ่นที่ปรากฏในการ์ตูนโดเรมอนด้วยนั่นเอง นอกจากนี้ยังเป็นรุ่นที่อัดแน่นเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้าไป ไม่ว่าจะเป็น เรือนไมล์ดิจิทัล โช้กปรับไฟฟ้า หรือระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
Corolla Gen 7 (E100) ปี 1991
จุดเด่นของ Toyota เจนนี้คือการเปลี่ยนโลโก้และภาพจำของ Toyota จากที่ใช้ตัวอักษร ‘TOYOTA’ ไปเป็นโลโก้ 3 ห่วงแบบในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าเป็นภาพจำของแบรนด์ Toyota นับแต่ตั้นเป็นต้นมา อีกทั้ง Toyota Corolla ยังปรับเปลี่ยนตัวถังให้มีดีไซน์โค้งมนมากขึ้น รวมถึงขนาดใหญ่ขึ้นด้วย พร้อมอัปเกรดเครื่องยนต์หัวฉีดแทนที่คาร์บูเรเตอร์เดิมทั้งหมด มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2 ลิตร Corolla ในยุคนี้ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานอย่างมาก แม้จะเปิดตัวในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ทำให้ออปชันต่าง ๆ ลดลง แต่สิ่งที่ได้มาคือความถึกทน ที่สามารถใช้จนลูกบวชได้จริง
Corolla Gen 8 (E110) ปี 1995
Toyota Corolla เจน 8 เกิดขึ้นในช่วงฟองสบู่แตก ทำให้ Corolla กลายเป็นรถบ้าน ๆ ที่ถูกตัดออปชันออกไปค่อนข้างมาก รวมถึงหน้าตาก็ไม่ได้ต่างจากเจนก่อนหน้าเท่าไหร่ คนไทยเรียก Corolla เจนนี้ว่า ตองหนึ่ง จากรหัสตัววถัง AE 111 มีรุ่นที่คุ้นเคยกัน 2 รุ่นย่อยคือ รุ่นตูดเป็ดท้ายสั้น (ปี 1995-1997) และรุ่นไฮทอล์ก (hi-torque ปี 1998-2001) ที่นิยมทำไปทำเป็นแท็กซี่ในไทยอย่างมาก เนื่องจากมีแรงบิดสูง แต่มีการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ 1ZZ-FE (เครื่องยนต์อะลูมิเนียม ที่น้ำหนักเบาลง) ในตลาดบางประเทศ หรือในอเมริกาก็มีการทำตลาดในชื่อรุ่น Chevrolet Prizm แทน ในช่วงนี้ Toyota ได้มีการเปิดตัวรุ่น Soluna ในปี 1997 ซึ่งเป็นอีกรุ่นขายดีของ Toyota ด้วย
Corolla Gen 9 (E120-E130) ปี 2000
Toyota เปิดตัวเจเนอเรชันที่ 9 หรือรุ่น Corolla Altis ที่ทุกคนรู้จักกันดีในปี 2000 ด้วยการชูเทคโนโลยีและออปชันทันสมัยที่โดดเด่นที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาด ณ เวลานั้น เป็นการประเดิมศตวรรษที่ 21 อย่างยิ่งใหญ่ ก่อนทยอยเข้าสู่ตลาดออสเตรเลีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และอเมริกาในปี 2002 รวมถึงตลาดจีนใช้ชื่อรุ่นว่า Corolla EX ส่วนในไทย Corolla Altis ยังไม่ได้รับความนิยมในช่วงแรก แต่จะรู้จักกันในชื่อ ‘หน้าหมู’ ที่มีลักษณะอวบอ้วนกว่ารุ่นอื่น ๆ นั่นเอง
Corolla Gen 10 (E140-E150) ปี 2006
Toyota Corolla เจเนอเรชันที่ 10 หรือ Corolla Axio ในตลาดญี่ปุ่น ที่มีตัวถังแคบกว่าในตลาดอื่นด้วยกำแพงด้านภาษี ในตลาดไทยเองก็มีให้เลือกทั้งตัวถังกว้างและแคบ แต่ขายตามหลังญี่ปุ่น 2 ปี และยังมีตัวถังแบบ Wagon 4 ประตูให้เลือกอยู่ บางประเทศใช้ชื่อรุ่นว่า Corolla Fielder
Corolla Gen 11 (E160-E180) ปี 2011
Toyota Corolla เจน 11 หรือเจน 3 ที่ขายในไทย มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้มีความเฉี่ยวคมขึ้น มีตัวเลือกขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมถึงตัวเลือกเครื่องยนต์ 1.6 และ 1.8 ลิตร พร้อมเปิดตัวรุ่นไฮบริดในตลาดญี่ปุ่น ทั้งรุ่น Axio (Corolla ในตลาดญี่ปุ่น) และ Fielder (Corolla Wagon ในตลาดบางประเทศ)
Corolla Gen 12 (E210) ปี 2018 – ปัจจุบัน
Toyota Corolla เจน 12 หรือโฉมปัจจุบันที่ยังขายอยู่ในตลาด เปิดตัวครั้งแรกปี 2018 สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม Toyota New Global Architecture (TNGA) ที่ใช้กับรถ Toyota เกือบทุกรุ่นในปัจจุบัน มีทั้งทรง Hatchback (Corolla Sport ในตลาดญี่ปุ่น) ที่มีตัวเลือกสมรรถนะสูงหรือที่รู้จักในชื่อ GR ตามมาในปี 2022 และทรง Sedan หรือชื่อรุ่น Prestige ในตลาดจีนและยุโรป รวมถึงชื่อ Sporty ในตลาดออสเตรเลียและอเมริกา ซึ่งมีการเปิดตัวเครื่องยนต์ไฮบริดพร้อมกันด้วย
ปัจจุบัน Toyota Corolla เปลี่ยนภาพลักษณ์โดยสิ้นเชิง ด้วยการเปิดตัว Corolla Cross ในฐานะรถครอสเอสยูวีไซซ์กลาง ๆ และทำตลาดในประเทศไทยได้ค่อนข้างดี อยู่ในอันดับ 3 ของตลาดรถครอสโอเวอร์ในไทย มียอดขายรวมกว่า 12,860 คัน ในปี 2024 (มกราคม-ตุลาคม) เป็นรองแค่ Toyota Yaris Cross และ Honda HR-V เท่านั้น
ใครที่เป็นแฟนรถตระกูล Corolla คงต้องรอดูกันว่า Toyota จะพัฒนาลูกรักตระกูลนี้ไปในทิศทางใดต่อไป แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความสำเร็จที่ผ่านมาของ Corolla ตลอดระยะเวลาเกือบ 60 ปีลงได้อย่างแน่นอน