หากพูดถึง Ferrari หลายคนนึกถึงรถสปอร์ตสีแดง ตัดกับโลโก้รูปม้าสีเหลือง Ferrari เป็นรถในฝันที่คนรักรถทั่วโลกต่างหมายปอง ไม่ใช่แค่รูปทรงสปอร์ตเส้นสายโฉบเฉี่ยว หรือเสียงของเครื่องยนต์ V12 ที่ทำให้ต้องหันมองตามเวลาขับผ่าน แต่ยังรวมไปถึงเรื่องราวที่ทำให้สีแดงฉาบไปทั่วหน้าประวัติศาสตร์รถยนต์ ที่ใครเห็นสีแดงเป็นต้องนึกถึง Ferrari เท่านั้น

Ferrari is Red

เอ็นโซ เฟอร์รารี่ (Enzo Ferrari) ผู้ก่อตั้งรถสปอร์ตม้าลำพองสัญชาติอิตาลี เขาเกิดเมื่อปี 1898 เอ็นโซเติบโตมาในฐานะวิศวกรรถยนต์ให้กับทีม Alfa Romeo ที่คอยซ่อมเครื่องยนต์ ทดสอบรถ รวมถึงลงแข่งในสนามด้วย เรียกได้ว่าเขาถูกปลูกฝังจิตวิญญาณนักแข่งมาตั้งแต่เด็ก

Ferrari 125 S

แบรนด์รถ Ferrari กำเนิดขึ้นให้หลังในปี 1939 ที่เมืองโมเดนา ตอนบนของประเทศอิตาลี Ferrari สร้างภาพจำต่อแฟน ๆ ด้วยรถ ‘สีแดง’ ไม่ว่าจะเป็นใครที่ไหน เห็นสีแดงก็ต้องนึกถึงเฟอร์รารี่ สีแดงเป็นภาพแทนของความเร็ว ความร้อนแรง ความมุ่งมั่น และความปรารถนา ทำให้เมื่อมาอยู่บนรถสปอร์ตคันงาม กลับยิ่งกระตุ้นความหลงใหล อยากเป็นเจ้าของและลองสัมผัสความเร็วดูสักครั้ง แต่รู้ไหมว่า กว่าที่เฟอร์รารี่จะเริ่มใช้สีแดงบนรถของตัวเองก็ล่วงเลยมาถึงทศวรรษที่ 50s หลังจากผลิตมานานหลายปีแล้วก็ตาม

Formula 1

สีแดง เริ่มเป็นที่รู้จักพร้อม ๆ กับการแข่งขันรถสูตร 1 หรือฟอร์มูลาวัน เป็นการแข่งขันรถและหนึ่งในกีฬาที่มีมูลค่า (ความเสียหาย) สูงที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังใช้เป็นสนามทดสอบและชี้วัดสมรรถนะของเครื่องยนต์ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับการแข่งขันรถ 24 ชั่วโมงหรือที่รู้จักกันในนาม Le Mans

สำหรับ Formula 1 หรือ F1 มีที่มาจากรายการสำคัญในอดีตอย่าง World Manufacturers’ Championship (ปี 1925–1930) ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นรายการ European Drivers’ Championship (ปี 1931–1939) และกลายมาเป็น F1 อย่างเป็นทางการในปี 1950 จุดเริ่มต้นที่สนาม Silverstone Circuit

Ferrari สร้างชื่อในฐานะตัวแทนทีม Scuderia Ferrari หนึ่งในทีมแข่งรถเก่าแก่ที่สุดและได้รับชัยชนะมากที่สุดในประวัติศาสตร์ Formula 1 ด้วยผลงานคว้าแชมป์นักขับสูงสุด 15 สมัย และแชมป์ผู้ผลิตมากกว่า 16 สมัย โดยเฉพาะการมาถึงของมิชาเอล ชูมัคเกอร์ (Michael Schumacher) ชายผู้เป็นแชมป์โลกรถสูตรหนึ่งติดต่อกัน 7 สมัยกับ Scuderia Ferrari เทียบเท่าลูวิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) จาก Mercedes-AMG PETRONAS

Ferrari ได้แชมป์โลกนักขับครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2007 รวมถึงแชมป์โลกผู้ผลิตครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2008 ปัจจุบันถือว่า Ferrari ห่างหายจากการสัมผัสถ้วยแชมป์ไปนานกว่า 17 ปีเลยทีเดียว ซึ่งต้องมาดูกันต่อไปว่า หลังจาก Ferrari ไล่ล่านักขับเจ้าของสถิติโลก 7 สมัยอย่างแฮมิลตัน มาร่วมทีม Scuderia Ferrari ในปี 2025 จะสามารถเก็บเกี่ยวความสำเร็จที่หายไปนานได้หรือไม่ ถึงแม้จะไร้ถ้วยแชมป์นาน 10 กว่าปี แต่ก็ปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของทีม Scuderia Ferrari และเหล่า Tifosi (ติโฟซี่) บรรดากองเชียร์ของทีมม้าลำพอง ไปเสียมิได้

Less is More

สิ่งที่ทำให้ Ferrari ประสบความสำเร็จอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ความจำกัด เพราะรถเฟอร์รารี่ที่มีขายในตลาดมีปริมาณน้อยกว่าความต้องการของคนทั่วโลก ตามกลไกการตลาด เมื่อมีอุปสงค์มากกว่าอุปทาน ทำให้รถสปอร์ตสีแดงนั้นขายเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ เนื่องจากรถเฟอร์รารี่ทุกคันล้วนประกอบด้วยมือ ใช้ช่างเครื่องยนต์ 1 คน ต่อการประกอบรถ 1 คัน ปริมาณไม่สำคัญเท่าคุณภาพ

Ferrari ผลิตและขายรถยนต์ได้เพียงปีละประมาณ 10,000 คัน ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้ ยิ่งสร้างความเย้ายวนใจให้แก่คนรักรถที่อยากเป็นเจ้าของม้าลำพองสีแดงมากขึ้น สอดรับกับแนวทางของแบรนด์ว่า ต้องการขายรถยนต์ให้น้อยกว่าความต้องการของตลาดเสมอ ทำให้ Ferrari สามารถทุ่มเทให้กับคุณภาพและสมรรถนะของตัวรถและการทำกำไรจากรถต่อคัน มากกว่าการผลิตออกมาจนล้นตลาด

Ferrari 250 GTO

ตัวอย่างการผลิตที่จำกัดและสร้างแรงกระเพื่อมให้แก่วงการอุตสาหกรรมรถยนต์มากที่สุดคือ Ferrari 250 GTO ที่มีจำนวนจำกัดเพียง 36 คันทั่วโลก และยังคงเป็นหนึ่งในรุ่นที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในตลาดรถยนต์ อีกทั้งเป็นรุ่นที่ขายได้ราคาสูงที่สุดของ Ferrari ในเวลานี้ด้วย จากการประมูลแบบไม่เป็นทางการของ Ferrari 250 GTO ปี 1963 (รหัสตัวถัง 4153GT) เครื่องยนต์ V12 กำลัง 296 แรงม้า ปิดไปที่ราคา 70 ล้านเหรียญฯ (ประมาณ 2,400 ล้านบาท) จากราคาขายในท้องตลาดเริ่มต้นแค่ 18,000 เหรียญฯ เท่านั้น คิดดูว่าราคาบวกไปกี่เท่า

Ferrari F40

Ferrari ใช้วิธีการปลุกปั้นรถสปอร์ตของตัวเองให้มีสมรรถนะสูงสุด พร้อม ๆ กับคุณภาพประดุจงานฝีมือ แม้ว่าจะสามารถผลิตรถได้ปีละ 10,000 กว่าคัน แต่ Ferrari ยังสามารถทำกำไรได้มากกว่า 45,000 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว คิดเป็นอัตราส่วนกำไรมากกว่า 20% ในปี 2023 ซึ่งถือว่ามากที่สุดในอุตสาหกรรมรถยนต์ด้วยกัน ซึ่งจะแตกต่างจากแนวคิดการผลิตรถยนต์รูปแบบแมสโปรดักต์ชันอย่างพวก Toyota หรือ Tesla ที่เน้นการผลิตรถในราคาจับต้องได้ และขายให้ได้จำนวนมาก ๆ แต่ทำกำไรในอัตราส่วนแค่ระดับ 10% (ไม่รวมมูลค่าบริษัทจากตลาดหุ้น) ของการดำเนินงานเท่านั้น

นอกจากนี้ Ferrari ยังสามารถหารายได้ทางอื่นนอกจากการทำรถขาย ที่เป็นรายได้หลัก คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 85% แล้ว ยังมีรายได้จากสปอนเซอร์และขายสินค้าเมอร์ชานไดส์ที่นำโลโก้ Ferrari ไปใส่ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ทั้งกระเป๋า, เสื้อผ้า, รองเท้า และน้ำหอม ยกระดับมูลค้าสินค้ามากขึ้นตามมูลค่าแบรนด์ มีสัดส่วนประมาณ 10% รวมถึงรายได้จากการผลิตเครื่องยนต์ อาทิ เครื่องยนต์สำหรับรถแข่ง F1 ให้แก่ทีม HAAS และ Kick Sauber สัดส่วนประมาณ 2% และรายได้อื่น ๆ อีกประมาณ 3%

Limited value

Ferrari ยังอาศัยกลยุทธ์ในการเป็นเจ้าของรถสปอร์ตให้ยากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะรุ่น Limited Edition ต่าง ๆ กล่าวคือ คุณต้องสร้างโปรไฟล์ที่ดี ที่เหมาะจะเป็นเจ้าของรถม้าลำพองก่อน จนเข้าตาและได้รับ ‘รับเชิญ’ จึงจะมีสิทธิในการซื้อรถคันดังกล่าวได้ รวมถึงหากต้องการซื้อรถรุ่น Limited Edition สักคัน แค่มีเงินถึงอาจยังไม่พอ เพราะ Ferrari เรียกร้องมากกว่านั้น

คุณอาจจำเป็นต้องมีรถ Ferrari ก่อน (มากกว่า 1 คัน) จึงจะสามารถมีสิทธิเป็นเจ้าของรถเฟอร์รารี่รุ่น Limited ได้นั่นเอง รวมถึงหากเจ้าของรถมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์แบรนด์ในทางไม่ดีก็สามารถถูกถอดถอนสิทธิในการเป็นเจ้าของรถได้เช่นกัน ซึ่งจะถูกแขวนชื่อไว้ใน Ferrari Blacklist ยกตัวอย่างกรณีของ จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) ที่ดันไปเปลี่ยนสีแดงของรถเฟอร์รารี่ไปเป็นสีตามภาพที่เห็น ทำให้เจ้าตัวถูกริบสิทธิที่จะครอบครองรถสปอร์ตม้าลำพองออกไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ Ferrari ยังมีโปรแกรมเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับเจ้าของรถ Ferrari ต่าง ๆ ทั้งโปรแกรมการแข่งรถในสนามแข่ง การเข้าชม F1 ในที่นั่งพิเศษ รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ สำหรับสาวกม้าลำพองเท่านั้น ยิ่งกระตุ้นให้คนอยากเป็นครอบครัวเดียวกับ Ferrari มากขึ้นตามไปด้วย แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ Ferrari จะเปิดรับคนในครอบครัวใหม่ เพราะยอดขาย 3 ใน 4 ของเฟอร์รารี่ล้วนมาจากเจ้าของเดิมทั้งนั้น

Ferrari ไม่ได้แต่ขายรถจนทำกำไรได้มหาศาลเท่านั้น แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนทั่วโลก ผ่านการมีความฝัน ตั้งเป้าหมายพร้อมความมุ่งมั่นที่จะตามเดินรอยตามฝันจนประสบความสำเร็จ และได้ผลลัพธ์ในการเป็นเจ้าของรถสีแดงคันโปรดสักครั้งในชีวิต แค่นี้ก็จุดประกายให้ใครหลายคนได้มากมายแล้ว จริงไหมล่ะครับ