หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง BYD ออกมาประกาศความสำเร็จครั้งใหญ่ ในการผลิตรถพลังงานใหม่ (New Energy) ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า (BEV), ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ไปจนถึงรถไฮบริด (EREV) ที่ใช้น้ำมันมาช่วยปั่นไฟ รถเหล่านี้ของ BYD เพิ่งจะผ่านเส้น 5 ล้านคันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คุณหวัง ชวนฟู (Wang Chuanfu) ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง BYD

ที่เป็นเช่นนั้นได้เนื่องจากโรงงานของ BYD มีกำลังผลิตเฉลี่ย 7,407 คันต่อวัน จึงสามารถผลิตรถพลังงานใหม่ครบ 1 ล้านคันในช่วงเดือนพฤษภาคม 2021 และใช้เวลาอีก 1 ปีในการทะลุ 2 ล้านคัน หลังจากนั้นอีก 6 เดือน BYD ก็สามารถผลิตรถพลังงานใหม่ได้เกิน 3 ล้านคันเป็นที่เรียบร้อย

ล่าสุด BYD ทำลายสถิติ 5 ล้านคันด้วยรถ Denza N7 ที่เป็นแบรนด์ย่อยร่วมผลิตระหว่าง BYD และ Mercedes-Benz (ภายหลัง Mercedes-Benz ถอนตัวไปในปี 2021) ที่เน้นผลิตรถระดับพรีเมียม และมีไฮไลต์อยู่ที่ใช้เครื่องเสียงจาก Devialet ในรถเป็นรุ่นแรกของโลก

Denza N7

นอกจากนี้ BYD ยังเป็นผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์แรกที่ไม่ผลิตรถสันดาปตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 โดยหันมาผลิตรถพลังงานใหม่ล้วน ๆ นับแต่นั้นเป็นต้นมา คุณหวัง ชวนฟู (Wang Chuanfu) ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง BYD กล่าวว่า “จีนกลายเป็นมหาอำนาจโลกเรื่องรถพลังงานใหม่ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดโลกสูงถึง 32.5% และมีการประเมินกันว่าจะสูงขึ้นถึง 60% ภายใน 2025”

BYD มีฐานการผลิต 9 แห่งในประเทศจีน มีกำลังผลิตรวม 1.95 ล้านคันต่อปีในปี 2022 โดยโรงงานที่ผลิตรถ BYD ได้สูงสุดคือที่ซีอาน สามารถผลิตรถได้สูงสุด 900,000 คันต่อปี รวมถึงการก่อตั้งโรงงานในประเทศไทย ที่คาดว่าจะมีกำลังผลิต 150,000 คันต่อปี ไปจนถึงโรงงานผลิตแห่งที่สองในยุโรปด้วย

ปัจจุบัน BYD มียอดขายรถพลังงานใหม่ในปี 2023 อยู่ที่ 1,517,798 คัน (ยอดขายทั้งปี 1.86 ล้านคันในปี 2022) เพิ่มขึ้นกว่า 88.81% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว โดย BYD มีส่วนแบ่งการตลาดรถพลังงานใหม่ในจีนอยู่ที่ 37% ในขณะที่แบรนด์คู่แข่งอย่าง Tesla อยู่ที่ 8.7% (Tesla ขายเฉพาะแค่รถ EV ไม่มีรถไฮบริด)

ส่วนเป้าหมายในปี 2023 ทาง BYD ตั้งเป้าไว้ว่าจะขายรถพลังงานใหม่ให้ได้ 3 ล้านคัน ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์กันว่า BYD สามารถทำได้ถึง 3.5 ล้านคันเลยทีเดียว รวมถึงส่งออกมากถึง 200,00 คัน เราต้องมาดูกันว่า BYD จะทำได้อย่างที่คาดไหม

อ้างอิง

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส