Our score
8.5รีวิว Xpander HEV ขับไฮบริด มาพร้อม 7 โหมด เอาอยู่ทั้งในเมืองและออฟโรด เริ่มต้น 933,000 บาท
จุดเด่น
- ขับเคลื่อน 2 ล้อ แต่ลุยออฟโรดได้
- มีโหมดขับขี่ 7 โหมด
จุดสังเกต
- ไม่มีปรับระดับความหน่วง มีแค่เกียร์ B
-
Xpander HEV ขับไฮบริด ลุยได้ทั้งในเมืองและออฟโรด
8.5
แม้รถยนต์ค่ายญี่ปุ่นจะไม่ได้ก้าวขาลงมาเล่นตลาดรถ EV เต็มตัว แต่ก็ไม่หยุดพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอยู่เสมอ ล่าสุดเราได้ไปร่วมทดสอบประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนใหม่ชื่อ e:motion ที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์ใหม่ และมอเตอร์ไฟฟ้า รวมถึงแบตเตอรี่ของ Mitsubishi ที่ปรากฏในรุ่นแรกอย่าง Xpander HEV และเป็นรุ่น
Xpander HEV รถ MPV ไฟฟ้า 7 ที่นั่ง ที่ปรับโฉมใหม่ทั้งคัน พร้อมระบบขับเคลื่อนไฮบริดรุ่นใหม่ e:Motion ที่ผสมผสานระบบขับเคลื่อน AYC และโหมดขับขี่ให้เลือกกว่า 7 โหมด โดยได้ต่อยอดมาจากระบบไฮบริดในรถปลั๊กอินไฮบริดของ Mitsubishi นั่นเอง ซึ่งระบบ e:Motion นี้จะมาพร้อมเครื่องยนต์ MIVEC 1.6 ลิตร ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ (ที่เขาเคลมว่าใหญ่สุดในเซกเมนต์เดียวกัน) รวมถึงชุด PDU จากรถ PHEV และระบบส่งกำลัง Transaxle ที่ใช้ในรถ EV เช่นกัน
ระบบไฮบริด e:Motion ใหม่ ถือว่าเป็นยุคใหม่ของรถ EV ของ Mitsubishi ซึ่งเครื่องยนต์ของตัวรถจะระบายความร้อนได้ดีขึ้น มาพร้อมกำลังมอเตอร์ไฟฟ้า 116 แรงม้า แรงบิด 225 นิวตันเมตร (แรงกว่าไฮบริดเจ้าอื่น) ทำงานร่วมกับกำลังเครื่องยนต์ 95 แรงม้า (เครื่องยนต์เดิม 105 แรงม้า) และแรงบิด 134 นิวตันเมตร
การทำงานของระบบไฮบริด e:Motion จะขับเคลื่อนคล้ายกับระบบของรถ PHEV โดยการสตาร์ทด้วยระบบ EV และขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด พร้อมปรับระบบเป็นการขับเคลื่อนโหมด EV อัตโนมัติ และเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงขึ้น ตัวรถจะปรับมาใช้เครื่องยนต์หลักและเสริมกำลังด้วยมอเตอร์ (Parrarel) และหากมีการขับรถลงเขา ตัวรถจะช่วยรีเจนเนอเรทีฟให้อัตโนมัติ
Xpander HEV ยังมาพร้อมระบบขับขี่ให้เลือกใช้ถึง 7 โหมด แบ่งเป็นโหมด EV 2 โหมดและโหมดขับขี่ทั่วไป รวมถึงออฟโรดอีก 5 โหมด ได้แก่
- โหมด Charge เครื่องยนต์ชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ แม้จอดอยู่กับที่ก็สามารถชาร์จได้อย่างรวดเร็ว โดยระบบ Force Charge 10-90% ภายใน 3 นาที สังเกตการชาร์จได้จากรูปแบตเตอรี่ 6 ช่องบนหน้าจอ ถ้าตัวแบตลดลงต่ำกว่า 5 ช่องเครื่องยนต์จะติดเพื่อปั่นไฟทันที
- โหมด EV หรือโหมดขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าล้วน มอบความเร็วสูงสุดและระยะทางขับขี่ไกลสุดเมื่อเทียบกับรถในเซกเมนต์เดียวกัน
- โหมด Normal เหมาะสำหรับใช้งานทั่วไป ยังได้อัตราเร่งเหมือนรถไฮบริดทั่วไปอยู่
- โหมด Wet ช่วยยึดพื้นถนนได้ดีบนถนนเปียก
- โหมด Gravel โหมดขับขี่สำหรับพื้นขรุขระและออฟโรด ช่วยเข้าโค้งมั่นใจขึ้น ลดอาการท้ายปัดหรืออันเดอร์สเตียร์ของตัวรถ
- โหมด Tarmac คือโหมดพละกำลังสูงสุด ตัวรถจะเปิดระบบ AYC ทำงานเต็มที่ พวงมาลัยไวและหนักเทียบได้กับโหมดสปอร์ต อัตราเร่งแรงกว่าโหมด EV โดยจาก 0-100 กม./ชม. อยู่ที่ประมาณ 10 วินาที
- โหมด Mud ออฟโรดแบบลุยโคลน ที่ถึงแม้ตัวรถจะใช้ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า แต่ก็สามารถลุยโคลนได้อย่างมั่นใจ
ภายในห้องโดยสารของ Xpander HEV มาพร้อมหน้าจอคนขับดิจิทัล 8 นิ้ว พวงมาลัย 3 ก้าน พร้อมระบบเกียร์ไฟฟ้า และสวิตช์ปรับโหมดบริเวณคอนโซลกลาง ส่วนภายนอกตัวรถนั้นให้ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ พร้อมปรับช่วงล่างใหม่หมด ตั้งแต่ โช้กอัป, วาล์ว, สปริง เพื่อให้เข้ากับภูมิประเทศของไทยที่สุด ปรับลดความสูงลงเหลือ 205 มิล (ปรับลง 15 มิล แต่ยังสูงสุดในเซกเมนต์เดียวกัน) และปรับจุดศูนย์ถ่วงต่ำลง 10 มิล
จุดเด่นอีกอย่างของระบบ e:Motion คือตำแหน่งของแบตเตอรี่จะอยู่ภายใต้ตัวถังหรือใต้เบาะที่นั่งของผู้ขับขี่เลย และมีการป้องกันน้ำโดยให้มีทางเข้าเดียวคือด้านบนตัวแบตเตอรี่ ทำให้น้ำเข้ายากขึ้น รถจึงขับลุยได้ดีขึ้นด้วย พร้อมทั้งระบบรีเจนเนอเรทีฟจับแยกออกมาเป็นเกียร์ B (กดแป้นเกียร์ลง 2 ครั้ง) ที่เพิ่มความหน่วงมากขึ้นให้พอใช้แทนการเบรกได้
ครั้งนี้เรามีโอกาสทดสอบสมรรถนะของ Mitsubishi Xpander HEV ทั้งการขับขี่บนถนนลาดยางด้วยโหมด Tarmec ประสิทธิภาพสูงและประหยัดขึ้น 30% รวมถึงการขับขี่แบบออฟโรดในโหมด Garvel และ Mud ค่อนข้างประทับใจเลย ถือว่าเป็นรถครอบครัวที่ขับลุยได้ แม้ตัวรถจะขับ 2 ล้อ แต่ลุยได้ไม่ต่างจาก 4 ล้อ อีกทั้งสมรรถนะและออปชันของ Xpander HEV ยังให้มามากกว่ารถในเซกเมนต์เดียวกัน พร้อมทั้งรับประกันรถและระบบไฮบริด 5 ปี รับประกันแบตเตอรี่ 10 ปี
MItsubishi Xpander HEV ราคา 933,000 บาท และรุ่น Xpander Cross HEV ราคา 961,000 บาท
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส