แม้ว่ากระแสรถ EV จะเบ่งบานทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศไทย แต่ในช่วงหลัง ๆ มาเราอาจได้ยินคำว่า EREV (Extended Range Electric Vehicle) มากขึ้น จนหลายคนอาจสงสัยว่า EREV นี่ใช่รถ EV หรือไม่ ทำไมต้องมี ER อยู่ข้างหน้า แล้วการทำงานต่างกับรถ EV ทั่วไปอย่างไร เดี๋ยว bt พาไปหาคำตอบกัน
ส่วนประกอบ
หลายคนอาจจะสับสนระหว่าง BEV (รถยนต์ไฟฟ้า 100%), HEV (รถไฮบริด) และ EREV (รถยนต์แบตเตอรี่ขยายระยะ) ว่าแต่แตกต่างกันอย่างไร อย่างแรกให้ทำความรู้จักส่วนประกอบของรถแต่ละประเภทเสียก่อน
- BEV ประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ (ขนาดใหญ่) มีช่องเสียบชาร์จไฟ
- HEV ประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ (ขนาดเล็ก) และเครื่องยนต์ ไม่มีช่องเสียบชาร์จไฟ
- EREV ประกอบด้วย มอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ (ขนาดกลาง) และเครื่องยนต์ มีช่องเสียบชาร์จไฟ
เมื่อทราบส่วนประกอบต่าง ๆ ของรถแต่ละประเภทแล้วก็จะพอเห็นภาพมากขึ้นว่า EREV ทำงานคล้าย ๆ รถไฮบริด แต่มีช่องเสียบชาร์จเข้ามาเหมือนกับ BEV นั่นเอง
การทำงาน
เมื่อรู้ส่วนประกอบภายในตัวรถแล้ว เรามาดูที่วิธีการทำงานของรถแต่ละประเภทกันบ้าง ซึ่งหลายคนน่าจะคุ้นเคยกับรถ BEV และ HEV กันอยู่แล้ว เรามาขยายความการทำงานของ EREV ให้มากขึ้นกันดีกว่า ก่อนอื่น
- BEV ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อ และอาศัยการชาร์จผ่านช่องชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อกักเก็บพลังงานไปใช้ขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า
- HEV ก็มีทั้งรถที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน และอาศัยมอเตอร์มาช่วยเสริมกำลัง พ่วงด้วยแบตเตอรี่ขนาดเล็ก ๆ ไว้เก็บพลังงาน รวมถึงรถไฮบริดรุ่นหลัง ๆ สามารถขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว และใช้เครื่องยนต์มาช่วยปั่นไฟเข้าแบตเตอรี่ขนาดเล็ก ให้ช่วยขับขี่ได้ไกลยิ่งขึ้น
- EREV พัฒนาต่อยอดจากรถไฮบริดขึ้นมา ด้วยการขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าตลอดเวลา แต่มีเครื่องยนต์ไว้สำหรับปั่นไฟเข้าแบตเตอรี่ รวมถึงยังสามารถชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ได้เช่นกัน และแม้แบตเตอรี่จะหมดก็สามารถเติมน้ำมันให้เครื่องยนต์ปั่นไฟ เพื่อใช้ขับเคลื่อนต่อได้ด้วย
จุดเด่น
จุดเด่นของรถ EREV คือไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนใด ๆ ทำให้ไม่มีการปล่อยเสียออกมาเหมือนกับรถไฮบริดบางชนิด พูดได้ว่ารถ EREV มีลักษณะคล้ายรถ EV ที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนมากกว่ารถไฮบริด แต่ก็ยังมีเครื่องยนต์มาช่วยผลิตไฟนั่นเอง
ข้อดีของรถประเภท EREV อีกประการคือ แบตเตอรี่ของ EREV จะมีขนาดใหญ่กว่ารถไฮบริดทั่วไป (ไม่กี่ kWh) ตั้งแต่ 30 kWh ขึ้นไป ซึ่งอาจจะมีขนาดเทียบกับหรือมากกว่าแบตเตอรี่ในรถ BEV ก็เป็นได้ เมื่อแบตเตอรี่หมดก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องที่ชาร์จ เพียงแวะเข้าปั้มเติมน้ำมันเข้าไปให้เครื่องยนต์ช่วยผลิตไฟก็สามารถขับขี่ต่อไปได้ ไม่ต่างจากรถสันดาป
จุดด้อย
แน่นอนว่ารถทุกประเภทไม่ได้เพอร์เฟกต์ไปเสียทุกอย่าง อย่างรถ BEV เองก็ต้องอาศัยความพร้อมของระบบนิเวศน์ไฟฟ้า ทั้งสถานีชาร์จและศูนย์บริการและซ่อมบำรุงที่เพียงพอ รวมถึงสงครามราคาที่หลายคนน่าจะกำลังเผชิญอยู่ แม้แต่รถไฮบริดเองก็ไม่ใช่รถที่รักษ์สิ่งแวดล้อมขนาดนั้น รวมถึงประหยัดได้เทียบเท่ากับรถ BEV แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสถานีชาร์จนั่นเอง
ส่วน EREV เนื่องจากเป็นรถ 2 ระบบ ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า จึงมีต้นทุนในการผลิตสูงกว่ารถ EV ทั่วไป เพราะแบตเตอรี่ก็มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่คนกังวลเรื่องราคาแบตเตอรี่ที่ยังสูงอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งตัวรถ EREV ยังมีน้ำหนักรถที่มากขึ้น เนื่องจากต้องพกพาทั้งแบตเตอรี่ก้อนใหญ่ แถมยังต้องมีเครื่องยนต์ไว้สำหรับปั่นไฟด้วย
แล้ว Nissan Kicks ใช่ EREV ไหม?
หลายคนก็อาจสงสัยว่าแล้วแบบนี้ Nissan Kicks ที่ขายในไทยมานาน ใช่ EREV ไหม ทำไมเขาถึงเรียกว่าระบบ e-power ต้องบอกว่าใช่และไม่ใช่ครับ ถ้าพูดถึงการทำงานของ Kicks ต้องบอกว่ามันคือ EREV แน่ ๆ เพราะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% และอาศัยเครื่องยนต์มาช่วยปั่นไฟ เติมน้ำมันได้
แต่สิ่งที่ทำให้ Nissan Kicks ไม่ใช่ EREV ประการแรกคือ ขนาดแบตเตอรี่ Lithium-ion 2.06 kWh ซึ่งถือว่าน้อยมากและมีขนาดใกล้เคียงกับรถไฮบริดทั่วไปมากกว่า จึงพึ่งพาเครื่องยนต์ในการปั่นไฟเข้ามอเตอร์ไฟฟ้าและสำรองในแบตเตอรี่เป็นหลัก ทำให้หากรถไม่มีน้ำมันก็ไม่สามารถขับเคลื่อนได้ แตกต่างจากรถ EREV ที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ แม้จะไร้น้ำมัน แต่หากยังมีไฟเหลือในแบตเตอรี่ก็สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้นั่นเอง
นอกจากนี้ Nissan Kicks ก็ยังไม่มีช่องเสียบชาร์จ แบบที่รถ EV หรือ EREV มี จึงทำให้มีลักษณะคล้ายกับรถไฮบริดมากกว่า แม้จะขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ก็ตาม
EREV มีรุ่นอะไรบ้าง
ปัจจุบันรถ EREV รุ่นใหม่ที่กำลังจะเปิดตัว โดยเฉพาะแบรนด์จีน ต่างมีตัวเลือก EREV ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น NETA L และ NETA S ทางฝั่ง ChangAn ก็มี Deepal S05 และ Avatr 07 ไปจนถึง Li Auto L7 (รุ่นแรกของแบรนด์ Li Auto) และ L9 ซึ่งบางรุ่นก็เตรียมเข้ามาทำตลาดในไทยเช่นเดียวกัน
ทำให้เห็นว่า รถ EREV ค่อนข้างตอบโจทย์สำหรับประเทศที่ยังไม่มีระบบนิเวศของพลังงานไฟฟ้าเพียงพอ โดยเฉพาะเรื่องจำนวนสถานีชาร์จ รวมถึงความกังวลของประชาชนที่ยังไม่กล้าจะเปลี่ยนไปใช้รถ EV เต็มตัว อย่างน้อยรถ EREV ก็สามารถขับขี่แบบรถ EV และเติมน้ำมันเพื่อความอุ่นใจได้นั่นเอง ทั้งนี้อาจยังมีเรื่องภาษีที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากพอมีเครื่องยนต์เข้ามา อัตราภาษีของรถ EREV ก็คงไม่เหมือนกับรถ EV ที่ต่างทำสงครามราคา ลดแล้วลดอีก จนซื้อก่อนไม่ได้ถูกกว่าอีกแล้ว ต้องมาดูกันว่าใครที่จะเป็นคนเปิดเกมสำหรับ EREV แล้วจะดีพอให้คนไทยใช้งานได้จริงหรือไม่