เราได้ยินคำว่า ‘สงครามราคา’ ของรถ EV จีนกันมาสักพักแล้ว หรือจะกล่าวให้ชัดคือ แบรนด์รถ EV หลายค่ายต่างลดเพดานราคาเพื่อแข่งกันขายรถ จนทำให้ผู้ใช้ที่ซื้อก่อนอาจไม่ได้ของถูกเสมอไป เพราะไม่ทันไรเดี๋ยวก็ขายถูกลงอีกแล้ว เราเห็นปรากฏการณ์แบบนี้เช่นเดียวกันในตลาดรถของไทย เนื่องจากมาตรการอุดหนุนและลดภาษีนำเข้าของภาครัฐ รวมถึงผู้นำเข้ายอมหั่นกำไรตัวเองลง ทำให้ต้นทุนลดลง ขายรถได้ถูกลงตามไปด้วย แต่สำหรับตลาดรถฝั่งยุโรป หรือ EU อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะล่าสุดอาจมีการเพิ่มภาษีนำเข้ารถ EV จากประเทศจีน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในตลาด
หากสังเกตตัวเลขจากกราฟข้างต้น จะเห็นว่ายุโรปมีการนำเข้ารถ EV จากประเทศจีนมากขึ้นในทุก ๆ ปี โดยเฉพาะปี 2023 มีการนำเข้ามากกว่า 437,554 คันเลยทีเดียว คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นกว่า 45% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้คณะกรรมาธิการยุโรปได้มีการประกาศการสอบสวนแบรนด์รถ EV จากจีน ในประเด็นเรื่องการสนับสนุนด้านภาษีไม่เป็นธรรม เมื่อวันที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยแต่ละแบรนด์จะต้องเสียภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น ดังนี้
- BYD เสียภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 17.4%
- Geely เสียภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 20%
- SAIC เสียภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 38.1%
- ผู้ผลิตรถ EV รายอื่น ๆ ที่เข้าร่วม เสียภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 21%
- ผู้ผลิตรถ EV รายอื่น ๆ ที่ไม่เข้าร่วม เสียภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น 38.1%
- ทั้งนี้ยังไม่รวมภาษีนำเข้า (Import Tariff) ที่ต้องเสียอยู่แล้ว 10% และภาษีอื่น ๆ อีก 20%
มาตรการนี้จะเริ่มบังคับใช้ชั่วคราววันที่ 4 กรกฎาคม 2024 หากประเทศจีนไม่สามารถนำเสนอวิธีการแก้ปัญหาหรือทางออกของการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมนี้ได้ ทำให้แบรนด์จีน (รวมถึงแบรนด์ตะวันตกที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศจีนอย่าง Volvo และ Tesla) ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งนี้กระบวนการสอบสวนเป็นไปเพื่อต้องการฟื้นฟูตลาดรถยนต์ให้เกิดความเท่าเทียมขึ้น และยุโรปยังคงเปิดกว้างสำหรับผู้ผลิตรถ EV จากประเทศจีนอยู่เสมอ หากว่าทุกคนปฏิบัติตามกฎการค้าที่ทั่วโลกตกลงใช้ร่วมกัน
จากตัวเลขบนกราฟทำให้เห็นว่าตลาดรถ EV ในยุโรปเติบโตเร็วมาก จากปี 2017 เพียงแค่หลัก 17,800 คัน สู่ 437,000 คันในปี 2023 (มูลค่าของบริษัทอย่าง Tesla, BMW และ Renault เพิ่มขึ้นจาก 631 ล้านยูโร ไปเป็น 9,660 ล้านยูโร) ทำให้สัดส่วนรถ EV จีนในตลาดยุโรปจากเดิมมีเพียง 0.4% ในปี 2019 กลับเพิ่มขึ้นเป็น 7.9% ในปี 2023 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 20% ภายในปี 2027
คณะกรรมาธิการยุโรป มีนโยบายสนับสนุนการนำเข้ารถ EV จีนไม่ต่างจากไทย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบเงินอุดหนุน การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดราคาสินค้าและบริการ สินเชื่อราคาถูก เครดิตที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ คืนภาษี และอื่น ๆ อย่างไรก็ตามมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐอาจทำร้ายอุตสาหกรรมรถของสหภาพยุโรป เนื่องจากการผลักดันรถ EV จีนมากเกินไป ทำให้ยอดขายรถ กำไร ไปจนถึงส่วนแบ่งการตลาดกลายเป็นเรื่องไม่ยั่งยืนได้ จึงเป็นที่มาของประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้ารถ EV จีนนั่นเอง
การปรับภาษีนำเข้ารถ EV จีนนี้ ส่งผลให้ราคาขายของรถ EV จีนขยับเข้ามาใกล้กับคู่แข่งในตลาดยุโรปมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมมากกว่าสงครามราคาอย่างที่เป็นอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะมีผู้เห็นด้วยไปซะทั้งหมด อย่างสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์แห่งเยอรมนี (VDA) ที่มี BMW, Mercedes-Benz และ Volkswagen ให้การสนับสนุน มองว่าการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มไม่เหมาะสม เนื่องจากการเพิ่มภาษีไม่ได้ช่วยกระตุ้นความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ และอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการค้าตามมา
โดยมาตรการปรับภาษีนำเข้าจะมีการลงคะแนนเสียงระหว่างประเทศสมาชิกในเดือนพฤศจิกายน 2024 และประกาศใช้มาตรการอย่างเป็นทางการอีกครั้ง แต่ปัจจุบันหลายประเทศยังมีความเห็นที่แตกต่างกันไปหลายทิศทาง ไม่ว่าจะฝั่งเยอรมันที่รอลงมติในเดือนพฤศจิกายนทีเดียว หรือฮังการีที่ดึงดูดการลงทุนจาก BYD เข้ามาในประเทศก็ดูจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ส่วนสวีเดนและไอร์แลนด์ยังสงวนความคิดเห็น แต่ไม่ได้มีท่าทีต่อต้าน ทั้งนี้ฝรั่งเศสเองยังไม่ยอมเปิดตลาดให้จีนมากนัก เฉกเช่นเดียวกับอิตาลีที่ผลักดันมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าเต็มที่ สอดรับกับที่อเมริกาประกาศเก็บภาษี 100% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในจีน บทสรุปของการปรับขึ้นภาษีนำเข้าในตลาดยุโรปจะเป็นอย่างไร เราคงต้องติดตามกันต่อไปในช่วงปลายปี 2024