หลังจาก MINI เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกอย่าง Cooper SE ในปี 2019 ล่าสุด MINI เดินทางมาถึงเจเนอเรชันที่ 5 พร้อมการปรับปรุงดีไซน์ใหม่ทั้งคัน มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่แบบ “Electrified Go-Kart” นิยามใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกะทัดรัดระดับพรีเมียม พร้อมราคาสุดช็อกไม่ถึง 1.7 ล้านบาท (MINI เปิดตัว Cooper SE ครั้งแรกราคา 2.29 ล้านบาท)
ดีไซน์ภายนอกของ MINI Cooper SE มีกลิ่นอาย MINI แต่ผสมผสานความคลาสสิกและความทันสมัยเข้าด้วยกัน กระจังหน้าทรงแปดเหลี่ยม ไฟหน้าทรงกลมและไฟท้าย LED ปรับได้ 3 รูปแบบ คือ โหมด Classic โหมด Favoured และโหมด JCW ที่มีลูกเล่นแตกต่างกันไป มือจับประตูได้รับการดีไซน์ใหม่ให้ราบเรียบไปกับตัวรถ
ภายในห้องโดยสารได้แรงบันดาลใจจากยุค 1959 จุดเด่นเลยคงหนีไม่พ้นปุ่มสตาร์ตรถที่ใช้การบิด แทนที่ปุ่มกด มาพร้อมหน้าจอ OLED ทรงกลมเต็มรูปแบบ เป็นครั้งแรกที่เทคโนโลยีปรากฏบนอุตสาหกรรมยานยนต์ พร้อมระบบปฏิบัติการณ์ MINI Operation System 9 ที่ตอบสนองการสั่งงานผ่านหน้าจอสัมผัสและการสั่งงานด้วยเสียง นอกจากนี้ยังมีหน้าจอแสดงผล Head-up Display
ด้านล่างมีแผง Toggle Bar ที่ยังคงความคลาสสิกของการมีปุ่มกดอยู่ ทั้งการใช้เบรกมือ เกียร์รถ สวิตช์เลือกรูปแบบ Experience Mode 7 รูปแบบ แบ่งเป็น
- Core Mode: โหมดหลักซึ่งเน้นการแสดงผลหน้าจอเมนูหลัก
- Go-Kart Mode: โหมดที่ปลุกจิตวิญญาณแห่งความเป็นมอเตอร์สปอร์ต เน้นความเร้าใจด้วยมาตรวัดสไตล์สปอร์ต พร้อมระบบขับเคลื่อนจะเปลี่ยนไปสู่โหมดสปอร์ตทันที บอกข้อมูลการขับขี่ พร้อมเสียงตอบรับ ‘วู้หู้ว’ สำหรับการขับขี่เร้าใจที่กำลังจะเกิดขึ้น
- Green Mode: โหมดที่ได้รับการปรับแต่งมาเพื่อการประหยัด เปรียบได้กับโหมด Eco ที่มอบระยะทางการขับรถที่สูงที่สุด มาในโทนสีเขียว
- Balance Mode: โหมดที่มีความพิถีพิถัน หรือเป็นโหมด Normal นั่นเอง โดยอิงจากเสียงธรรมชาติต่าง ๆ ของป่าในเวลากลางวันและกลางคืน
- Timeless Mode: สัมผัสกลิ่นอายแห่งตำนานมินิ สู่ยุคดิจิทัล ด้วยฟอนต์แบบ Serif และมาตรวัดความเร็วขนาดใหญ่ เสียงการขับขี่ในโหมดนี้บันทึกไล่เลียงจากมินิ คลาสสิก ไปจนถึงมินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ จีพี เหมือนกับการเดินทางผ่านกาลเวลา
- Vivid Mode: โหมดที่เน้นเรื่องการนำเสนอเทคโนโลยีอัจฉริยะ “Color Grabber” ที่ดึงสีสันจากหน้าปกอัลบั้มของเพลงที่กำลังเล่นอยู่ มาแสดงผลบนหน้าจอ พร้อมไฟแอมเบียนซ์ในห้องโดยสารไปในโทนเดียวกัน
- Personal Mode: โหมดที่เปิดให้เจ้าของรถสามารถปรับแต่งภาพพื้นหลังบนหน้าจอได้ตามความต้องการผ่านแอปพลิเคชัน MINI App
นอกจากนี้ยังมีปุ่มปรับความดังของเพลง รวมถึงปุ่มบิดสตาร์ตและดับรถ แผงคอนโซลรถหุ้มด้วยผ้าถักลวดลาย Houndstooth สองสีที่เป็นวัสดุรีไซเคิลเช่นกัน ยังมีจุดชาร์จไร้สายด้านหน้าคอนโซล และเบาะนั่งแบบสปอร์ต Vescin สี Nightshade Blue ที่มาจากวัสดุรีไซเคิล ไปจนถึงล้ออะลูมิเนียมที่ในเจเนอเรชันใหม่นี้ผลิตจากอะลูมิเนียมรีไซเคิลสูงสุดถึง 70%
สิ่งที่น่าสนใจคือ MINI Cooper SE มาพร้อม MINI Connected ที่รองรับแอปสโตร์ในชื่อว่า MINI Connected Store ที่ช่วยให้เจ้าของรถสามารถเข้าถึงและดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้อย่างหลากหลายจากผู้ให้บริการจากภายนอกรายต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีระบบนำทาง MINI Navigation ยังมาพร้อมแพ็กเกจเสริมที่รองรับการแสดงผลภาพแผนที่ในรูปแบบภาพ 3 มิติที่สมจริงขึ้นด้วย
MINI Cooper SE มาพร้อมกำลังสูงสุด 218 Ps แรงบิด 330 Nm มีอัตราเร่ง 0-100 km/h ใน 6.7 s มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 54.2 kWh (MINI Cooper SE เจนแรกแบตขนาด 32.6 kWh) ขับขี่ได้สูงสุด 402 km (มาตรฐาน WLTP) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่สามารถขับขี่ได้จริงเกิน 300 กม. น่าจะตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้นในการเดินทางไกล รองรับการชาร์จ DC 95 kW (สูงขึ้นจากเดิม 50W) จาก 10-80% ในเวลาประมาณ 30 นาที
สุดท้ายเรื่องความปลอดภัย MINI Cooper SE ให้ระบบช่วยเหลือการขับขี่ (Driving Assistant) ในมินิโฉมใหม่ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันด้านการช่วยเหลือการจอดรถอัตโนมัติ Parking Assistant และกล้องแสดงภาพด้านท้ายรถ ทั้งยังมีออปชันเสริม Driving Assistant Plus ช่วยให้การขับขี่สะดวกสบายและปลอดภัยกว่าที่เคยด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ล้ำสมัยต่าง ๆ เช่น Adaptive Cruise Control
ปิดท้ายด้วย MINI Digital Key Plus ที่จะทำให้เจ้าของรถเปลี่ยนสมาร์ตโฟนของตัวเองให้เป็นกุญแจรถ ปลดล็อก/ล็อกรถได้โดยไม่ต้องพกกุญแจและไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ออกมา โดยแสงไฟต้อนรับด้านหน้าและด้านหลังรถมินิจะเปิดทำงานทันทีเมื่อเจ้าของรถเข้ามาใกล้ในระยะ 3 เมตร และประตูจะปลดล็อกให้ในระยะ 1.5 เมตร
MINI Cooper SE เปิดราคาเริ่มต้น 1.699 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโมเดล MINI Countryman ในโฉมไฟฟ้าราคา 3.399 ล้านบาท และ MINI JCW Countryman ราคา 3.999 ล้านบาท มาพร้อม MSI Standard รับประกันตัวรถ 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง ฟรีค่าบำรุงรักษา MSI นาน 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง และรับประกันแบตเตอรี่ High-Voltage 8 ปี หรือ 160,000 km