แม้ว่า บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์ – ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทย จะเป็นผู้บุกเบิกยนตรกรรมไฟฟ้าในไทยด้วยการนำเข้า MG ZS EV มาขายเป็นรุ่นแรกในไทยอย่างเป็นทางการ ล่าสุด MG เตรียมเปิดตัวเทคโนโลยีไฮบริดใหม่ ประเดิมในรุ่น ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่พัฒนาโดย SAIC MOTOR CORPORATION บริษัทแม่จากประเทศจีน ที่ชูเรื่องความประหยัดยิ่งขึ้น
ALL NEW MG3 HYBRID+ เปิดตัวในประเทศอังกฤษ ยุโรป เม็กซิโก ก่อนที่จะข้ามมาที่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และฟิลิปปินส์ และกำลังจะเปิดตัวในไทยเร็ว ๆ นี้ MG3 HYBRID+ เป็นรถในกลุ่ม B-Segment ที่มาพร้อมระบบไฮบริดใหม่หรือ HYBRID+ ให้กำลังจากมอเตอร์ผสานกำลังเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร กำลังรวม 194 แรงม้า แรงบิด 250 Nm ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ พร้อมแบตเตอรี่ขนาดเล็ก 1.83 kWh ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนกว่า 8 โหมด ที่สามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างราบรื่นและเหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงความเร็ว ทั้งยังสามารถขับได้ไกลกว่า 800 กม. ต่อการเติมน้ำมัน 1 ถัง
เรามาทำความรู้จักเทคโนโลยี HYBRID+ ในรุ่น MG3 HYBRID+ กันสักหน่อย ว่ามีโหมดอะไรบ้าง
- โหมดจอดหยุดนิ่ง ระบบจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ (HV BATTERY) เป็นหลัก เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศและระบบอื่นๆ ทำงานได้โดยไม่อาศัยกำลังเครื่องยนต์ จึงไม่ปล่อยไอเสีย
- โหมด EV วิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน ในโหมดนี้ตัวรถอาศัยพลังงานจากแบตเตอรี่ขับเคลื่อนล้อจากหยุดนิ่งด้วยความเร็วถึง 30 กม./ชม. ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ให้ความรู้สึกเหมือนรถ EV และยังไม่มีการปล่อยไอเสีย
- โหมดความเร็วที่มีการจราจรหนาแน่น เมื่อตัวรถใช้ความเร็วมากขึ้นในช่วง 30 – 50 กม./ชม. และยังเป็นความเร็วต่ำ เมื่อขับขี่ในเมือง ระบบจะเข้าสู่การขับเคลื่อนแบบอนุกรม (Series Hybrid) โดยเครื่องยนต์จะทำหน้าที่ในการปั่นไฟ เพื่อส่งกระแสไฟไปยังมอเตอร์ไฟฟ้า
- โหมดความเร็ววิ่งในเมือง เป็นโหมดที่ทำงานเมื่อใช้ความเร็วระดับ 50 – 80 กม./ชม. ซึ่งยังเป็นระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรมอยู่ คือเครื่องยนต์ทำหน้าที่แค่ปั่นไฟเข้ามอเตอร์ขับเคลื่อน รวมถึงส่งกระแสไฟส่วนเกินไปยังแบตเตอรี่
- โหมดความเร็ววิ่งคงที่ เมื่อใช้ความเร็วในช่วง 80 กม./ชม. โดยเฉพาะการขับขี่ทางไกลหรือนอกเมือง เครื่องยนต์จะเข้ามาช่วยในรอบความเร็วต่ำ และอาศัยการทำงานแบบ Hybrid Transmission 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติมาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้ประหยัดได้มากกว่าโมหด Series Hybrid ที่ปั่นไฟอย่างเดียว
- โหมดวิ่งทางไกล และเร่งแซง เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้นระดับ 80 – 120 กม./ชม. โดยเฉพาะการขับขี่ทางไกล จังหวะเร่งแซง หรือขับขึ้นทางชัน ตัวรถจะเข้าสู่โหมดที่เครื่องยนต์และมอเตอร์ทำงานร่วมกันหรือ Parallel Hybrid ทำให้ตัวรถได้กำลังสูงขึ้น อัตราเร่งตอบสนองได้ทันใจ และมีการปล่อยไอเสียมากขึ้น
- โหมดความเร็วสูง เมื่อใช้ความเร็วเกินกว่า 120 กม./ชม. เครื่องยนต์จะยังคงทำงานต่อเนื่อง โดยมีการแบ่งกำลังในการขับเคลื่อนล้อ ไปหมุนเจนเนอเรเตอร์เพื่อปั่นไฟในเวลาเดียวกัน ซึ่งมีการปล่อยไอเสียสูงสุด เพราะเครื่องยนต์ทำงานเต็มกำลัง
- โหมดลดความเร็ว Regenerative เมื่อลดความเร็วจาก 120 กม./ชม. ลงมา หรือเวลาขับลงทางลาดชัน ระบบจะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลัง และชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ ซึ่งผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บพลังงานสูงสุด
เห็นได้ว่า HYBRID+ เป็นการผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ร่วมกันแบบอัตโนมัติ ผ่านแบตเตอรี่ในการกักเก็บพลังงาน โดยมีระบบ Hybrid Transmission ที่มี 3 อัตราทด ทำให้ตอบสนองการทำงานที่ความเร็วต่าง ๆ ได้ราบรื่นขึ้น นอกจากนี้มอเตอร์ที่ใช้ในระบบ HYBRID+ ยังเป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในรถ EV ของ MG เตรียมพบกับ ALL NEW MG3 HYBRID+ ที่จะเปิดตัวในประเทศไทยเร็ว ๆ นี้ได้เลย