วันพุธที่ 31 กรกฎาคม Uber และ BYD ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในระยะยาวหลายปี โดยจะนำรถยนต์ไฟฟ้า BYD ใหม่ 100,000 คัน มาให้บริการแก่ลูกค้าบนแพลตฟอร์มเรียกรถโดยสาร Uber ในตลาดที่สำคัญทั่วโลก เริ่มต้นในยุโรปและละตินอเมริกา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงราคาที่ดีที่สุดและเงินทุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าของ BYD มาวิ่งให้บริการบนแพลตฟอร์มของ Uber และจะขยายต่อไปยังตลาดตะวันออกกลาง แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่เพิ่มมากขึ้น ได้กระตุ้นให้ทั่วโลกต้องเร่งช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และหันมาเปลี่ยนใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้ามีราคาที่สูงและดอกเบี้ยเงินกู้ก็เพิ่มขึ้น จึงทำให้การเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ายังมีอัตราที่ช้ากว่าที่คาดไว้
Uber และ BYD มีเป้าหมายที่จะช่วยให้คนขับ Uber สามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าในต้นทุนรวมที่ลดลง ตลอดจนเร่งการนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาใช้บนแพลตฟอร์ม Uber ทั่วโลก และนำพาผู้โดยสารหลายล้านคนเดินทางโดยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันช่วยเหลือผู้ขับขี่ด้วยการมอบส่วนลดสำหรับการชาร์จ การบำรุงรักษารถยนต์ หรือประกันภัย รวมไปถึงข้อเสนอด้านการเงินและการเช่าซื้อ โดยจะพิจารณาให้เหมาะสมกับตลาดในภูมิภาคนั้น ๆ รวมทั้งจะร่วมมือกันพัฒนารถยนต์ไร้คนขับของ BYD เพื่อนำไปใช้งานบนแพลตฟอร์ม Uber ในอนาคต
ดารา โคสโรว์ชาฮี (Dara Khosrowshahi) ซีอีโอของ Uber เผยว่า “เมื่อคนขับ Uber เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า จะสร้างประโยชน์ด้านการปล่อยมลพิษมากกว่าผู้ขับขี่ทั่วไปถึง 4 เท่า เพราะว่าพวกเขาอยู่บนท้องถนนมากขึ้น”
เดือนมกราคม 2024 Uber เผยว่ากำลังทำงานร่วมกับ Tesla เพื่อส่งเสริมให้ผู้ขับขี่ในสหรัฐฯ ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งบริษัทต้องการเดินหน้าปลอดการปล่อยมลพิษในเมืองต่าง ๆ ของสหรัฐฯ และแคนาดาภายในปี 2030 โดยได้เสนอเงินจูงใจสูงสุด 2,000 เหรียญ (71,160 บาท) ให้แก่คนขับที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า Tesla Model 3 และ Model Y ซึ่งเป็นเงินที่ได้นอกเหนือจากเครดิตภาษีของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ สูงสุด 7,500 เหรียญ (266,850 บาท)
ไตรมาสที่ 4 ปี 2023 BYD สามารถส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าแซงหน้า Tesla แม้ว่าต่อมาไตรมาสที่ 1 ปี 2024 Tesla จะกลับมาครองแชมป์ได้อีกครั้ง แต่ยอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla กลับลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากความต้องการของตลาดที่ชะลอตัวลง นอกจากนี้ตลาดในประเทศจีนได้แข่งขันกันลดราคาอย่างดุเดือด ซึ่ง Tesla ก็ได้ต่อสู้ตลาดในประเทศจีนด้วยการเปิดให้บริการ FSD และต่อมาไตรมาสที่ 2 Tesla ก็ยังคงมียอดส่งมอบที่ลดลง ซึ่งก็ได้มีทิศทางในการสร้างรายได้ในอนาคตด้วยแท็กซี่ไร้คนขับ รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นราคาไม่แพง และหุ่นยนต์ Optimus