เราเคยพูดถึงเทคโนโลยี Hybrid+ ใน MG3 ไปแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีคนสนใจเยอะ และเป็นอีกตัวเลือกของคนที่ยังไม่กล้าข้ามไปถึงเทคโนโลยีไฟฟ้า 100% ก็มักจะหันไปหารถไฮบริดแบบนี้แหละ พิสูจน์ได้จากตัวเลขยอดจำหน่ายรถในจีนเริ่มเบนเข็มไปทางรถไฮบริด แทนที่รถ EV อย่างชัดเจน หลังจาก BYD Sealion 6 DM-i เปิดตัวลุยตลาดไฮบริดเต็มที่ MG ก็เปิดตัว MG3 Hybrid+ ลุยตลาดรถคอมแพกต์ไฮบริด ชูความประหยัดขับได้ไกล 800 กม.
MG3 Hybrid+ ทำตลาดไทย 2 รุ่นย่อยได้แก่ รุ่นเริ่มต้น D และรุ่นท็อป X สิ่งที่แตกต่างเป็นเรื่องออปชันที่เพิ่มมา ได้แก่
- ระบบ ADAS กว่า 11 ระบบ อาทิ ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ, ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลนและอื่น ๆ
- กล้องมองภาพ 360 องศา
- ที่ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย
- ระบบพับกระจกข้างอัตโนมัติ และระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ
MG3 Hybrid+ มีขนาดตัวรถ 4,113 x 1,797 x 1,502 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่กว่ารุ่นเดิมเล็กน้อย (MG 3 เดิมขนาด 4,055 x 1,729 x 1,516 มิลลิเมตร) รวมถึงฐานล้อ 2,570 มิลลิเมตร ซึ่งเทียบกับคู่แข่งเจ้าตลาดอย่าง Honda City e-HEV ถือว่าใกล้เคียงกัน ทีมงานเรามีทำ Infographic เทียบเสปกให้ดูกันชัด ๆ แล้วด้วยนะ
MG3 Hybrid+ มาพร้อมเทคโนโลยี Hybrid+ ที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้ความประหยัด และยังขับขี่สนุกเร้าใจ ด้วยกำลังสูงสุด 194 แรงม้า (กำลังมากที่สุดในเซกเมนต์เดียวกัน) ภายในบรรจุแบตเตอรี่ขนาด 1.83 kWh แบบ Cell-To-Pack พร้อมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 26.2 กิโลเมตรต่อลิตร ทำให้ขับขี่ได้ไกล 800 กม. ต่อน้ำมัน 1 ถัง
MG3 Hybrid+ มีให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีแดง, สีขาว, สีดำ และสีเทา จับคู่กับเบาะสีดำ (เฉพาะรุ่น D) นอกจากนี้ยังมีสีฟ้าและสีเหลือง จับคู่กับเบาะสีทูโทน (เฉพาะรุ่น X) ส่วนราคาจำหน่าย MG3 Hybrid+ รุ่น D เริ่มต้น 579,900 บาท (ราคาพิเศษ 559,000 บาท เฉพาะ 1,000 คันแรก) และรุ่น X ราคา 619,900 บาท (ราคาพิเศษ 599,000 บาท เฉพาะ 1,000 คันแรก)