วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ นายหวัง ชวนฝู่ ผู้ก่อตั้ง BYD ได้กล่าวในงานเปิดตัวกลยุทธ์ระบบอัจฉริยะที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท ในเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน พร้อมแนะนำระบบขับขี่อัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุด God’s Eye ที่คล้ายกับฟีเจอร์ FSD ของ Tesla ซึ่งจะติดตั้งมากับรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท ทั้งรุ่นราคาแพงและรุ่นราคาถูก เพื่อต้องการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบขับขี่อัจริยะที่ให้ความปลอดภัยและความสะดวกสาย ซึ่งปกติจะติดตั้งอยู่ในรถยนต์ที่ราคาสูงกว่า 200,000 หยวน (ประมาณ 927,800 บาท) เท่านั้น

นายหวังเผยว่า BYD จะติดตั้งระบบขับขี่อัจริยะ God’s Eye ในรถยนต์ทุกรุ่นภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท ที่มีราคาสูงกว่า 100,000 หยวน (ประมาณ 463,760 บาท) รวมทั้งรถยนต์แบรนด์ BYD ที่ราคาต่ำกว่า 100,000 หยวน จำนวน 3 รุ่น ได้แก่ BYD Seagull, BYD Qin Plus DM-i และ BYD Seal 05 DM-i (ที่มีราคาเริ่มต้น 89,800 หยวน หรือประมาณ 416,483 บาท) และจะติดตั้งมากับรถยนต์รุ่นใหม่ 21 รุ่น

ปกติตอนนี้เราพบว่า BYD ได้ติดตั้งระบบขับขี่อัจฉริยะไว้ในรถยนต์ที่มีราคาเริ่มต้น 30,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,015,800 บาท) ต่างจากคู่แข่งอย่าง Tesla ที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าราคาเริ่มต้น 32,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ1,083,200 บาท)

ระบบขับขี่อัจฉริยะ God’s Eye จะใช้สถาปัตยกรรม Xuanji และเชื่อมต่อกับโมเดล Deepseek R1 ซึ่งมี 3 ระดับด้วยกัน ได้แก่

God’s Eye C ขับเคลื่อนโดยระบบ DiPilot 100 มีพลังการประมวลผลสูงสุดที่ 100 TOPS ที่ติดตั้งกล้อง 12 ตัว พร้อมด้วยเรดาร์คลื่นมิลลิเมตร 5 ตำแหน่ง ตรวจจับได้ครอบคลุม 360 องศา และเรดาร์อัลตราโซนิก 12 ตำแหน่ง ใช้สำหรับรถยนต์แบรนด์ BYD ที่จะเปิดตัว 21 รุ่น มีราคาตั้งแต่ 70,000 – 200,000 หยวน (324,520 – 927,200 บาท) รวมทั้งรุ่นราคาไม่แพงอย่าง Seagull

God’s Eye B ขับเคลื่อนโดยระบบ DiPilot 300 มีพลังการประมวลผลสูงสุดที่ 300 TOPS ที่มาพร้อมกับเซนเซอร์ LiDAR เพื่อปรับปรุงการรับรู้ ซึ่งใช้สำหรับรถยนต์แบรนด์ Denza และ Fang Cheng Bao รวมถึงแบรนด์ BYD รุ่นเรือธงบางรุ่น

God’s Eye A ขับเคลื่อนโดยระบบ DiPilot 600 มีพลังการประมวลผลสูงสุดที่ 600 TOPS ที่มาพร้อมกับเซนเซอร์ LiDAR ถึง 3 ตัว ซึ่งใช้สำหรับรถยนต์แบรนด์หรู YANGWANG