ปี 2024 ถือเป็นปีที่สำคัญสำหรับ BYD เมื่อรายได้รวมของบริษัทจากประเทศจีนสามารถทำได้ถึง 107,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมากกว่าคาดการณ์ของตลาดและยังแซงหน้า Tesla ที่รายได้อยู่ที่ 97,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงเวลาเดียวกัน อีกทั้งกำไรสุทธิของ BYD เพิ่มขึ้นถึง 34% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว มีกำไรสูงถึง 5,560 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

BYD ที่มีฐานในประเทศจีนและครองตลาดในประเทศมาอย่างยาวนาน สามารถเติบโตในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้ข้อได้เปรียบในบ้านเกิดเพื่อขยายตัวในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดอย่างน่าประทับใจ การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ BYD ยืนหยัดได้ในตลาดที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ในปี 2024 บริษัทได้เปิดตัวระบบการชาร์จรุ่นใหม่ ที่สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้วิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตร ในเวลาเพียง 5 นาที ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

หุ้นของ BYD ที่จดทะเบียนในฮ่องกงพุ่งขึ้นถึง 51% ในปีที่ผ่านมา ทำให้ราคาหุ้นของบริษัททำสถิติสูงสุดตลอดกาล สะท้อนถึงความมั่นใจของนักลงทุนในตลาดที่แข็งแกร่ง ในขณะที่หุ้นของ Tesla ประสบปัญหาหนักร่วงลงเกือบ 50% จากจุดสูงสุดที่ 490 เหรียญสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Tesla สูญเสียมูลค่าตลาดเกือบ 750,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สาเหตุหลักมาจากยอดขายที่ลดลงและข้อกังวลเกี่ยวกับการที่อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ยังมีบทบาทในการบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถมุ่งมั่นในการพัฒนา Tesla ได้เต็มที่ และอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของบริษัท

แม้ว่าทาง Tesla ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ด้วยการส่งมอบ 1,790,000 คัน ในปี 2024 แต่ BYD ก็ทำยอดขายใกล้เคียงกันที่ 1,760,000 คัน หากรวมกับยอดขายรถยนต์ไฮบริดแล้ว BYD ส่งมอบได้ถึง 4,270,000 คัน ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมความแข็งแกร่งในตลาด

BYD ตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตต่อไปในปี 2025 โดยคาดว่าจะขายรถได้ระหว่าง 5 – 6 ล้านคัน และในปีนี้ยังคงมีสัญญาณการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายงานยอดขายในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้นถึง 93% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว รวมแล้วยอดขายเกิน 623,000 คัน

การก้าวขึ้นมาของ BYD ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก แม้ว่า Tesla จะยังคงเป็นผู้นำในตลาดอเมริกาและบางตลาด แต่การผสมผสานระหว่างราคาที่สามารถเข้าถึงได้ นวัตกรรม และการผลิตในระดับที่ใหญ่ของ BYD กำลังทำให้บริษัทนี้กลายเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่และประเทศจีน

ในขณะที่ Tesla ยังคงมีหลากหลายรุ่นในตลาดราคา เช่น Model 3 ที่เริ่มต้นที่ประมาณ 42,490 เหรียญสหรัฐฯ และ Model Y ที่เริ่มต้นที่ประมาณ 46,630 เหรียญสหรัฐฯ BYD สามารถทำราคาได้ต่ำกว่ามาก โดยมีรุ่น Seagull ที่ราคาเริ่มต้นเพียง 11,400 เหรียญสหรัฐฯ และรุ่น Han ที่ราคาเริ่มต้นที่ 32,800 เหรียญสหรัฐฯ ถึงแม้ว่ารถของ BYD ยังไม่ได้วางจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ แต่ก็มีความสามารถในการแข่งขันที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับ Tesla ซึ่งสามารถเข้าถึงทั้งตลาดสหรัฐฯ และจีน

การเติบโตของ BYD ทำให้เราเห็นว่าพวกเขามีศักยภาพในการเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก Tesla ในอนาคต ทั้งในด้านราคาที่สามารถเข้าถึงได้ การพัฒนานวัตกรรมที่น่าสนใจ และกลยุทธ์การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ขณะเดียวกัน Tesla ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว